รีวิวนี้ จะพาไปเปิดประสบการณ์ความอร่อยกับอาหารฝรั่งเศส
สไตล์กัสโต้ กรูเม่ต์ (Gastro Gourmet) ที่ใช้การปรุงอาหารแบบร่วมสมัย
พร้อมกับวัตถุดิบหลักและวัตถุดิบเสริมแบบธรรมชาติ แต่ได้รสชาติที่โดดเด่น
แบบไม่มีผิดหวังเลยสักจานที่ได้กินเลยครับ ตามคอนเซ็ปต์ที่เชฟจิลล์
หัวหน้าพ่อครัวใหญ่แห่งห้องอาหาร The Roof และ La Vue
รวมถึงโรงแรม Siam@Siam Design Hotel & Spa ตั้งชื่อไว้ว่า
"Monsoon"
เดิมทีจะต้องทำการรีวิวที่ห้องอาหาร The Roof ชั้นบนสุดของโรงแรม
ที่มีคอนเซ็ปต์การตกแต่งแบบแข็งแรงสไตล์ Industrial-Art Design
ใช้โครงสร้างเหล็กและสแตนเลส ผสมกับไฟสีน้ำเงินและสีแดง
ให้ความอบอุ่นแต่เยือกเย็นไปพร้อม ๆ กัน
เพื่อชมวิวทิวทัศนียภาพ 360 องศาแบบ panorama พร้อมดื่มด่ำกับอาหาร
เลิศรส แต่ฝนก็ดันมาตก ทำให้ลำบากในการกินและถ่ายภาพ
จึงต้องย้ายลงมาที่ห้องอาหาร La Vue กันครับ แต่ผมก็มีภาพบรรยากาศ
ของห้องอาหาร The Roof มาให้ชมกัน แบบเรียกได้ว่าถ้าอากาศเป็นใจ
จะเป็นอีกที่ที่ชิลมาก ๆ ในการกิน ดื่ม คุย สังสรรค์กัน หรือจะโรแมนติกกันก็ได้เลย
สำหรับในส่วนของห้องอาหาร La Vue นั้น จะออกเป็นแนวทางการสักนิด
รอบห้องอาหารเป็นกระจกใสทั้งหมด ทำให้ไม่ว่าจะนั่งตรงส่วนไหนของห้องอาหาร
ก็สามารถมองวิวทิวทัศน์ได้เช่นกันประมาณ 180 องศา
และที่สำคัญเป็นห้องแอร์ซึ่งก็เหมาะกับคนขี้ร้อนแบบผมครับ
ก่อนไปสู่อาหาร ผมขอแนะนำโปรโมชั่นเครื่องดื่มดี ๆ แบบ Craft Beer
มาเป็น Bucket ชุด 6 ขวด ในราคา 1,199 บาท net
ผมเลยจัดมาจิบพร้อมกินกับอาหารซะเลยครับ แต่ละตัวเป็นไงเดี๋ยวไปดู
พร้อม ๆ กันกับอาหารเลยครับ
อุปกรณ์การบรรเลงจัดเตรียมเรียบร้อย มาพร้อมกับขนมปังและเนยดี ๆ
จานแรก เรียกน้ำย่อยเบา ๆ กับ Warm Potato Salad 310 บาท net
สลัดมันฝรั่งนุ่ม ๆ ตัดตักมาเป็นก้อนกลม มาพร้อมกับมาสคาโปเน่ชีสมัน ๆ
ไส้กรอกโชริโซ่เค็ม ๆ และปาร์ม่าแฮมหอม ๆ ลงตัวกันครื้นเครงดีทีเดียว
จานถัดมา ยังเป็นจานเรียกน้ำย่อยที่รสจัดขึ้นมาอีกนิด
กับ Tuna Nicoise Salad 390 บาท net
เป็นเนื้อปลาทูน่าส่วนเนื้อแดง นำมาเซียร์ผิว
(ทำสุกแค่ผิวด้านนอกทั้ง 4 ด้าน คงความดิบ สด ด้านในไว้)
โดยมีพริกไทยดำบดติดผิดด้านนอกให้ความหอมของเนื้อปลาที่สดหวาน
จัดวางมากับผักรวมมิตรหลากหลายชนิด ราดกับน้ำสลัดน้ำข้น
ที่ให้รสมันเค็มหวานกลมกล่อม
จานเรียกน้ำย่อยอีกจาน เป็นจานที่รสจัดจ้าน
กับ Occitane Snail Fricassee 550 บาท net
เป็นหอยทากฝรั่งเศสนุ่ม ๆ แต่หนึบเล็กน้อย เสิร์ฟมากับ
ซอสแดงรสเข้มข้นออกเปรี้ยวมะเขือเทศ กินพร้อมกับชีสนมแกะ
และขนมปังกรอบ เป็นจานที่อร่อยสุด ๆ เลยครับสำหรับจานเรียกน้ำย่อย
ผมนำเบียร์ BrewDog PUNK IPA จากสก็อตแลนด์ 240 บาท net
ที่เนื้อเบียร์เข้มข้นแต่รสเบา ๆ หอมกลิ่นดอกไม้ ผลไม้เพราะใช้ฮ็อบถึง 4 ชนิด
กับแอลกอฮอล์ 5.6% มาดื่มพร้อมกับกินหอยทากฝรั่งเศส เข้ากันได้ดีเลย
หรือแม้กระทั่งดื่มพร้อมกินกับสลัดมันฝรั่ง สลัดปลาทูน่าก็ยังอร่อยครับ
มาต่อกันที่จานซุป Cream of Oyster and Black Truffle Soup 450 บาท net
เป็นซุปข้นที่เข้มข้นด้วยหอยนางรม หอมหวลด้วยเห็ดทรัฟเฟิลดำ
น้ำมันที่ได้จากการเคี่ยวซุปทำให้รสและกลิ่นของซุปยิ่งเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
กินไปคำแรกก็รู้สึกว่าหยุดไม่ได้แม้จะหมดถ้วยไปด้วยเวลาอันรวดเร็วก็ตาม
อยากให้ชามใหญ่กว่านี้ซะด้วยซ้ำครับ อร่อยจริง ๆ
ระหว่างรออาหารจานหลัก ก็หันมาจิบเบียร์ต่อ ตัวต่อมา
เป็น St.Bernardus ABT 12 จากเบลเยี่ยม 250 บาท net ตัวนี้แอลกอฮอล์ 10%
แต่เป็น Ale ที่ดื่มได้ง่ายแม้แอลกอฮอล์จะสูงก็ตาม กลิ่นหอมของผลไม้
ดอกไม้ และมอลต์แรงมาก มีรสหวานและความมัน ดื่มเล่น ๆ ได้สนุกดี
ด้วยความมันของเบียร์ทำให้ความมันของซุปเมื่อสักครู่ยังสนุกสนานค้างปากอยู่ครับ
เบียร์ตัวต่อมา เป็น Ryan and The Beaster Bunny จาก USA 240 บาท net
แอลกอฮอล์ 7% หอมผลไม้เมืองร้อน รสเปรี้ยวนำหวานตาม สดชื่นดีครับ
แถมทำให้รู้สึกหิวพอดีกับที่อาหารจานหลักกำลังจะมาเสิร์ฟเลย
อาหารจานหลัก ผมได้ลอง 2 อย่างครับ จานแรกคือ
Sablefish in Salty crust 990 บาท net เป็นเนื้อปลาหิมะติดหนัง
แบบฟิลเลต์ไร้ก้าง ชิ้นหนา ทำระดับความสุกได้กำลังดี มาพร้อมกับ
มันฝรั่ง เห็ดออรินจิ ราดด้วยซอสเกรวี่รสชาติดีมาก ทานพร้อมกัน
กรอบนุ่มเข้ากันได้ดี เป็นจานที่อยากแนะนำจริง ๆ ครับ
ผมเลยลองจับเอาเบียร์ FALCO จาก USA 240 บาท net
เป็น Ale ที่กลิ่นและรสมีเอกลักษณ์ไปทางเครื่องเทศของอินเดีย
รสเปรี้ยวหวาน สดชื่นดีอีกด้วย มากับแอลกอฮอล์ 7% กำลังดี
ทานกับปลาหิมะก็เสริมรสกันได้สนุกดีครับ
ส่วนอาหารจานหลักอีก 1 อย่างคือ Pan-seared Beef Sirloin 1,390 บาท net
ใครที่ชอบทานเนื้อ ก็ต้องจัดกันเลยครับ เนื้อส่วนสันนอกติดมัน
ขนาดประมาณ 250 กรัม แต่งมันออกไปแล้ว หั่นชิ้นสเต็กหนา ๆ ย่างบนเตาหิน
ตลอดเวลาที่ย่างจะพรมเนยลงไปด้วย ทำระดับความสุกมาที่ medium
มาพร้อมกับสตูว์เบคอน มันฝรั่งและหอมแดงแขก
ราดด้วยซอสเกรวี่ไวน์แดงสไตล์เบอร์กันดีรสชาติเยี่ยม
เนื้อจานนี้ทำได้ดีเลยครับแต่ถ้าเปลี่ยนเป็นเนื้อวากิวที่นุ่มขึ้นจะยิ่งดีงามครับ
ได้เนื้อมาแล้ว ผมเลยเลือกดื่มเบียร์ Ashtray Heart จาก USA 250 บาท net
เป็นเบียร์รมควัน สไตล์เบียร์ดำ แอลกอฮอล์ 8.9% หอมกลิ่นไหม้รมควัน
ของฝืน เหล็ก สังกะสี ประมาณนั้นเลยครับ เป็นเบียร์ที่หนักอยู่เหมือนกัน
มีรสขมในตอนต้นแล้วหวานในตอนปลาย เหมาะกับจานเนื้อสเต็กมาก ๆ เลย
หมดอาหารจานหลัก ก็ตามมาด้วยของหวาน ซึ่งเชฟจิลล์ทำมาให้ลองกิน
เป็นพิเศษ ไม่มีในเมนูครับ แต่ได้กินแล้วก็ต้องลงภาพบรรยายความอร่อย
และสวยงามกันสักหน่อยครับ ซึ่งเชฟจิลล์ทำมาให้ถึง 3 อย่างด้วยกัน
อย่างแรก Strawberry Mille-Feuille แป้งกรอบสลับชั้นกับไส้คัสตาร์ด
และสตอเบอร์รี่สด อร่อยมากครับ
อย่างที่ 2 Macaron ชิ้นใหญ่ สีชมพูสอดไส้กีวีสด เข้ากันดี
อย่างที่ 3 White Chocolate Mousse with Blueberry sauce
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น