พื้นที่โฆษณาส่วนหัว

พื้นที่โฆษณาส่วนหัว
ติดต่อโฆษณา โทร.086 6688 327

วันจันทร์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2558

Water Library Brasserie New Menu July 2015

รีวิวนี้ ได้รับเกียรติจาก Openrice Thailand และ
ร้าน Water Library Brasserie ให้มาลิ้มรสชาติ
อาหารเมนูใหม่ ที่ทำเพิ่มออกมาในเดือนกรกฎาคมนี้ครับ
ซึ่งจะมีกี่เมนู อร่อยแค่ไหน น่าสนใจมั้ย เดี๋ยวมาติตตามกันครับ
กับ "Openrice Exclusive Dinner at Water Library" ครับ


ร้าน Water Library Brasserie ตั้งอยู่ที่ ชั้น 5
ของห้างสรรพสินค้า Central Embassy


โดยที่ตัวร้านจะเน้นความสะดวกสบายในการรับประทาน
ไม่ต้องมีพิธีรีตรองอะไรมากมายนัก ทานกันได้ทั้งครอบครัว
มีโซนที่นั่งแบบต่าง ๆ จะมานั่งเดท นั่งคุยงานไปทานอาหารไป
หรือจะมาเป็นกลุ่มแบบเพื่อนสนิทมิตรสหาย ก็เต็มที่ได้เลยครับ




  



 
  

แนวอาหารจะเป็นอาหารฝรั่งทางฝั่งฝรั่งเศส-อิตาเลียน
เสิร์ฟมาในภาชนะใหญ่และปริมาณเยอะ เพียงพอที่จะแบ่งกันทานได้
โดยเลือกจับคู่กับเครื่องดื่มไม่ว่าจะเป็นน้ำต่าง ๆ ทั้งแบบไม่แอลกอฮอล์
เช่นน้ำแร่จากแหล่งต่าง ๆ


หรือจะเป็นแอลกอฮอล์ตั้งแต่ cocktail เบา ๆ
ไปถึง beer, whisky และ wine คุณภาพเยี่ยมยอด
ก็เข้ากันอย่างดีครับ

 


 
ด้วยฝีมือของ Chef de cuisine มาาประสบการณ์อย่างเชฟ B
"ประพันธ์ สากลปัญญา" ที่มาถ่ายทอดและบรรเลงความอร่อย
ลงในเมนูแต่ละจานแล้วด้วยนั้น ทำให้อาหารทานได้เกลี้ยงจาน
อย่างง่ายดายเลยทีเดียวครับ


โดยผมขออุ่นเครื่องก่อนรับประทานอาหารจานใหม่
ด้วย Absolute Vodka Tonic (240 บาท) เย็นชื่นใจ
สดชื่น ๆ กันเต็มที่ครับ

 

ตามมาด้วย Complimentary ของทางร้าน
เป็นขนมปังมันฝรั่ง Potato Bread + Butter Truffle
ขนมปังกำลังอร่อย ทากับเนยกลิ่นหอมรสชาติเยี่ยม
ทำเอาหิวมากขึ้นไปอีกเลยครับ




จากนั้นทางร้านก็เริ่มเสิร์ฟเมนูใหม่ที่เชฟ B ได้รังสรรค์ขึ้นมา
เริ่มจาก Starter เป็น Ravioli of Lobster and Scallops (490 บาท)
เป็นแป้งราวิโอลี่(เกี๊ยวสไตล์อิตาเลี่ยน)สอดไส้ด้วยเนื้อกุ้งมังกร
และหอยเชลล์บดรวมกัน ราดมาด้วยซอสเห็ดทรัฟเฟิล
และแต่งด้วยลีคอบกรอบ หน้าตาดี แถมรสชาติก็ดี
ซอสหอมเห็ดมีรสหวานของการนำ Port Wine มา Reduction
เนื้อกุ้งมังกรหั่นผสมลงในเนื้อหอยเชลล์ที่ถูกแป้งห่อไว้อย่างดี
ก็ทำได้เนียนมาก ๆ ทางร้านแนะนำให้ pairing กับ
ไวน์แดง Pinot Noir หรือไวน์ขาว Sauvignon Blanc จะเข้ากัน
กับอาหารจานนี้ครับ





ถัดมาเป็น Main Course ที่เป็นจานใหม่ถึง 3 จาน
ให้เลือกได้ 1 จาน แต่ Dinner มื้อนี้ไปกันหลายท่าน
เลยทำให้ได้ลองครบทั้ง 3 จานครับ

เริ่มจาก Lobster Pasta (690 บาท)
เป็นเส้นคาเพลลินี่พาสต้าผัดกับกุ้งมังกร พริกและโซริโซ่
เส้นลวกมาแบบ Al dente นำมาผัดกับเครื่องปรุง
และเนื้อกุ้งมังกรหั่นเต๋า หอมกระทะมาก ๆ รสชาติเยี่ยม
และปริมาณเยอะครับ
แนะนำให้ pairing กับ ไวน์ขาว หรือ พวกสปาร์คกลิ้งไวน์ครับ


 

ถัดมาเป็น Crispy Tasmanian Salmon (660 บาท)
เป็นสเต็กปลาแซลมอน ชิ้นปลาหั่นฟิลเล่ต์ไร้ก้างที่ผ่านการ
sous vide มาก่อนเพื่อให้ใช้เวลากับการกริลเป็นสเต็กน้อยลง
แต่คงความอร่อยของเนื้อปลาจากทัสมาเนียนได้เต็มที่
ชิ้นปลากริลด้านนอกให้สุกสีสวยกำลังดี เสิร์ฟพร้อมผักโขมผัดครีม
มันฝรั่งบดผสมเนื้อปู คู่กับครีมซอสมะเขือเทศรสชาติเยี่ยมครับ
แนะนำให้ pairing กับ ไวน์ขาว Chardonnay ครับ



จานสุดท้ายของ Main Course ใหม่ครับ เป็นเมนูที่ผมสั่ง
กับ Rack of Australian Lamb (890 บาท)
ซี่โครงแกะออสเตรเลียย่างแบบ medium กำลังดีตามที่สั่งไป
กลิ่นสาปที่เป็นเอกลักษณ์ของแกะนั้น ขอบอกว่า
คุณจะไม่ได้กลิ่นสาปเลย เพราะเชฟ B หมักมาอย่างดี
แต่สัมผัสความนุ่มของเนื้อแกะนั้นยังคงอยู่ ใครที่ไม่ชอบกลิ่นสาป
ขอให้ลอง คุณจะติดใจจริง ๆ ซี่โครงแกะราดเพียงน้ำเกรวี่ก็อร่อยแล้ว
แต่เสิร์ฟมาพร้อมกับเห็ดและกะหล่ำผัดซอสมะกอกดำ
พอทานคู่กันกับเนื้อแกะแล้ว ก็อร่อยยิ่งขึ้นไปอีกครับ
แนะนำให้ pairing กับ ไวน์แดง Merlot หรือ Cabernet Sauvignon ครับ


 
 

แต่จานนี้ ผมลองหาเบียร์มา pairing ดู ก็เลยลอง
KAGUA JAPANESE Craft Beer (290 บาท)
ที่มีกลิ่นหอมอบอวล รสชาตินุ่มละมุน กับแอลกอฮอล์แค่ 8% เองครับ
เสิร์ฟมาในถังน้ำแข็งและแก้วของแบรนด์ตัวเองเลย




จบอาหารคาว ทางร้านก็เสิร์ฟของหวานเมนูใหม่
ชื่อว่า Chocolate Coupe (390 บาท)
เป็นไอศกรีมช็อคโกแล็ต และกล้วย ราดซอสช็อคโกแล็ต
เสิร์ฟพร้อมข้าวพองเคลือบคาราเมล เมอแรงค์ บราวนี่
เป็นเมนูของหวานแบบฝรั่งแนวรวมมิตรเลยครับ
สาว ๆ น่าจะถูกใจและลืมอ้วนไปได้ชั่วขณะครับ


 

สุดท้ายแต่ไม่ท้ายที่สุด ทางร้านได้นำของหวานขึ้นชื่อ
ก็คือ Tart Tartin (380 บาท) มาให้ทานกันอีกด้วยครับ
เป็น แอปเปิ้ลทาร์ตเสิร์ฟพร้อมไอศกรีมวนิลาเข้มข้น
รสชาติอร่อยลงตัว แอปเปิ้ลที่เชื่อมคาราเมลบนแป้งทาร์ต
ฟูกรอบอร่อย ทานกับไอศกรีมวนิลาเย็น ๆ สดชื่นปิดมื้อครับ


 

แล้วผมก็สั่งกาแฟมาดับรสหวานปิดท้ายสักแก้วครับ
กับ Espresso (90 บาท) กาแฟรสชาติกลมกล่อม ไม่เปรี้ยวปลาย
ชอบเช่นกันครับ


สรุปแล้วอาหารแต่ละจานที่ได้ชิมลิ้มลองรสชาติ
ทั้งการตกแต่งจานก็ดี การผสมผสานของเครื่องปรุงต่าง ๆ
และกระทั่งตัววัตถุดิบหลักเอง ก็เป็นของดีทั้งนั้นเลยครับ
อย่าพลาดที่จะมาลองโดยเด็ดขาดนะครับ


สนใจสำรองที่นั่งหรือติดตามข่าวสาร สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
http://www.waterlibrary.com/central-embassy/en/
www.facebook.com/waterlibrary
e-mail : embassy@waterlibrary.com
Tel : 0-2160-5893, 061-825-2532
เปิดบริการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 10.00-22.00 น.
(ครัวเปิด 11.30 น. รับออเดอร์สุดท้ายเวลา 21.00 น.)

ขอให้มีความสุขเอร็ดอร่อยกับอาหารทั้งคาวหวานและเครื่องดื่มดี ๆ
กันให้เต็มที่นะครับ


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น