พื้นที่โฆษณาส่วนหัว

พื้นที่โฆษณาส่วนหัว
ติดต่อโฆษณา โทร.086 6688 327

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

The Beer Bridge Italian Craft Beer Version



รีวิวนี้ เกิดขึ้นได้เพราะได้รางวัลจากการเขียนรีวิวลงใน OpenriceThailand อีกครั้งครับ
กับงาน Openrice Party ครั้งที่ 37 ที่จัดขึ้น ณ ร้าน The Beer Bridge ชั้น 1
โครงการ The Portico หลังสวน 

 
ซึ่งโครงการแห่งนี้มีร้านอาหารอีกหลายร้านเลยครับ
แต่วันนี้เรามาโฟกัสกันที่ ร้าน The Beer Bridge กันครับ


และที่สำคัญและดีงาม
คือวันนี้ จะได้ลิ้มชิมรสชาติของคราฟท์เบียร์(เบียร์ที่หมักบ่มแบบเล็ก ๆ)
หรือที่เป็นแนว micro brewery จากประเทศอิตาลีกันถึง 7 ชนิด ที่จะมาจับคู่
กับอาหารต่าง ๆ จากฝีมือเชฟชาลี ถึง 7 สไตล์ด้วยกันครับ
ซึ่งเบียร์แต่ละขวด/แก้ว และอาหารแต่ละจานนั้น
หน้าตา รสชาติ และความเข้ากันจะเป็นอย่างไร เรามาติดตามกันเลยดีกว่าครับ


แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ขอพาชมบรรยากาศร้านกันก่อนครับ
ด้วยสไตล์ร้านที่มีทั้งแบบโอเพ่นแอร์ และแบบห้องปรับอากาศกระจกใสรอบร้าน
รูปแบบโต๊ะเก้าอี้ที่นั่งหลากหลายให้เลือกได้ตามความถนัดและความชอบ 



 
ซึ่งโซนโอเพ่นแอร์หน้าร้านนั้น จะมีดนตรีสดเล่นให้ฟังกันครับ

 

ภายในร้านมีเคาท์เตอร์บาร์ขนาดใหญ่ พร้อมหัวจ่ายเบียร์สดแบบน้ำแข็งเกาะ -4 องศา
แค่เห็นน้ำลายก็แตกฟองตามฟองเบียร์ในจินตนาการเลยครับ


เบียร์จะมีหลากหลายมาก นอกจากนั้นก็ยังมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดต่าง ๆ
ไว้คอยบริการ หรือจะเป็นแนวไร้แอลกอฮอล์ร้านก็จัดได้อย่างดีทีเดียวครับ


ซึ่งก่อนที่จะเข้าสู่ธีมงานปาร์ตี้นั้น ผมก็ได้ลองสั่ง mocktail และเบียร์อื่น ๆ
มาลองชิมแบบรองท้องกันซักหน่อย ซึ่ง mocktail ที่เป็นเมนูยอดนิยมของร้าน
ก็ทำออกมาได้ดีเลยล่ะครับ ทั้งแบบผสมรสเสาวรส สตอเบอร์รี่ และแอปเปิ้ล เป็นต้น


สำหรับเบียร์ก็มีทั้งเบียร์สดนานาประเทศ รวมถึงเบียร์สดให้เลือกกันอย่างมากมาย
สมชื่อร้านกันเลยทีเดียว



รวมถึงเบียร์ไม่มีแอลกอฮอล์เก๋ ๆ ด้วย


แต่ว่าวันนี้งานปาร์ตี้จะเน้นเป็นคราฟท์เบียร์จากอิตาลี
เลยต้องเบรค ๆ ตัวเองกันสักนิดครับ


เอาเป็นว่า เรามาดูเบียร์แก้วแรกกันเลยดีกว่า เป็นคราฟท์เบียร์
ที่เหมาะกับอาหารแนวทาปาส(ทานเล่นกึ่งจริงจัง)
กับ Menabrea เป็นลาเกอร์เบียร์ระดับเหรียญทอง
รสชาติและความหอมสมรางวัลครับ ระดับแอลกอฮอล์ 4.8%



มาจับคู่พร้อมทานกับทาปาสกว่า 8 ชนิดที่รสชาติแตกต่างกัน
แต่ก็เข้ากันได้ดี (ราคาตั้งแต่ 90-270 บาท)


ไม่ว่าจะเป็น Shrimp in Basil and Garlic Oil
กุ้งผัดน้ำมันกระเทียมและใบโหระพา รสชาติจัดจ้าน



Raw Tuna ปลาทูน่าปรุงสไตล์ยุกเกะแบบญี่ปุ่น
เย็น ๆ เค็ม ๆ หวาน ๆ มัน ๆ



Onsen Egg ไข่ลวกแบบออนเซ็นมาพร้อมขนมปัง ชีส
และซอสโบโลญเนสเข้มข้น



Chorizo on Espelette Toasted ไส้กรอกโชริโซ่ย่างบนขนมปัง
ที่กัดกินได้อย่างเอร็ดอร่อย



Cream Snapper Seared with Lime & Chilli Venegrette
ปลากะพงนาบกระทะพอสุก เสริฟพร้อมซอสน้ำส้มพริกมะนาว
ละมุนชื่นใจ



Fired Lamb Meat Ball มีทบอลเนื้อแกะสับทอดกรอบนอกฉ่ำใน
แทบไม่เจอกลิ่นสาปของเนื้อแกะเลยล่ะครับ


Spicy Merguez เต้าหู้ทอดรสเผ็ดที่ให้ความรู้สึกน่าแปลกใจ


Chicken Heart หัวใจไก่ย่างราดซอสสูตรเด็ด
หนึบ ๆ เคี้ยวเพลิน ๆ ดีครับ แกล้มเบียร์อร่อย


และยังมีไส้กรอกที่หน้าตาและรสชาติคล้ายไส้อั่ว
แต่เครื่องเทศไม่จัดจ้านเท่าอีกจานด้วยครับ


จบคู่เบียร์กับทาปาสไปแล้ว ถัดมาเป็นคู่เบียร์กับสลัดกันบ้างครับ
เบียร์ที่จะนำมาคู่กับสลัดนั้น เป็น Birra Roma:Bionda
ที่มีรสอ่อนละมุนยังคงเป็นสไตล์ลาเกอร์เบียร์ สีบลอนด์
มีเนื้อและกลิ่นหอมของฮ็อบที่โดดเด่น มีเนื้อเบียร์ทิ้งตัว
อยู่ที่ก้นแก้ว ระดับแอลกอฮอล์  5.2%



เชฟได้จัดสลัดมาให้ถึง 2 จาน 2 สไตล์ให้ได้ลิ้มลองคู่กับเบียร์
เป็น Chef's Salad(480 บาท)ทั้ง 2 จานครับ จานแรกเป็นสไตล์ใส ๆ มาพร้อมไข่ดาวน้ำ
ที่ไข่แดงยังไม่สุก(ลักษณะคล้ายต้มในน้ำส้มสายชูเหมือนเอ๊กเบเนดิกต์)
รสชาติอร่อยราดด้วยสลัดน้ำใสสไตล์อิตาเลี่ยน



อีกจานมากับไก่ เบล็อตต้าแฮมและมะกอกดอง ก็เข้ากับผักราดด้วยน้ำสลัดใส
สไตล์เมดิเตอเรเนี่ยน 


จบจากสลัดก็มาเป็นจานที่หนักขึ้นกับ Fired Chicken Sandwich
แซนวิชไก่ทอดใส่แยมเบคอนราดเกรวี่(290 บาท)
เป็นแซนวิชและเนื้อไก่ทอดส่วนสะโพกที่ใหญ่มาก
เห็นแล้วอยากจะอิ่ม แต่ก็ต้องลิ้มชิมรสชาติถึงความกรอบนอกนุ่มใน
ของเนื้อไก่ที่ผ่านการหมักและชุบแป้งทอดมาอย่างดี
ขนมปังแข็งกรอบสไตล์บาแก๊ทของฝรั่งเศสท็อปปิ้งด้วยเบคอนกรอบ
และหอมแขก ก่อนทานก็ทำการราดซอสแยมเบคอนเกรวี่ให้ได้รสชาติ
อย่างที่เชฟตั้งใจคิดค้นออกมา เป็นอีกจานที่หาร 3 น่าจะเหมาะกว่าครับ
เพราะจานนี้ใหญ่จริง ๆ



โดยจับคู่กับเบียร์ Birradamare:Chiara เบียร์สไตล์พิลส์เนอร์
มีกลิ่นหอมของดอกไม้ป่า ความเข้มข้นของเบียร์ ระดับแอลกอฮอล์ 4.9%
และกลิ่นหอมผสมผสานกันได้อย่างลงตัวเหมาะกับการทานกับของทอด ๆ
ของแห้ง ๆ ได้ดีทีเดียวครับ


เบียร์ตัวต่อมาเป็น Birra Roma:Ambrata ที่มีสีออกทองแดง
กลิ่นมีเอกลักษณ์มากขึ้น ระดับแอลกอฮอล์ 5.5%
เหมาะสำหรับจานเนื้อแดง เช่นเนื้อหมู เนื้อวัวและเนื้อแกะ


ซึ่งจัดมาจับคู่ทานกับไส้กรอกรวม Mixed Sausage และมันฝรั่งปรุงรส(530 บาท)
ไส้กรอกรวม 3 ชนิดที่ประกอบไปด้วย ไส้กรอกเลือด ไส้กรอกหมูและไส้กรอกลูกวัว
ทั้ง 3 ชนิดรสชาติความอร่อยไม่ซ้ำกัน เคี้ยวได้เพลินเมื่อดื่มกับเบียร์





ถัดมาเป็นจานเนื้อแดงแห่งร้านนี้ก็ว่าได้ กับ
AUS Wagyu Rib Eye สเต็กริบอายซอสไวน์แดงแลกระเทียมอบ(1,650 บาท)
เนื้อออสเตรเลี่ยนวากิวชิ้นใหญ่ประมาณ 400 กรัม ผ่านการย่างมาอย่างดี
ระดับความสุกอาจจะดูไม่เท่ากันทั้งชิ้น ดูแล้วมีตั้งแต่ medium จนถึง done
คาดว่าจะทำมาเพื่อการแชร์แบ่งกันทาน ใครชอบระดับความสุกแบบไหน
ก็ทานแบบนั้น มาพร้อมซอสไวน์แดงรสกลมกล่อมและกระเทียม+ผักอบหลากชนิด
จัดเสิร์ฟในถาดอลูมิเนียมเก๋ไก๋ ดูดิบ ๆ ดีครับ


 
จับคู่กับ ALE เบียร์สีทองแดง Birradamare:Rossa ที่รสชาตินุ่มละมุน
ถูกปากผมที่สุด แถมยังแกล้มกับเนื้อชั้นดีที่ผมชอบที่สุดอีกต่างหาก
นวลปากนุ่มคอมากสำหรับเบียร์ตัวนี้ ระดับแอลกอฮอล์เบาะ ๆ ที่ 6.3%


เบียร์ตัวต่อมาเป็นตัวที่จะมาจับคู่กับพวกอาหารทะเลและอาหารรสจัดบ้างครับ
ซึ่งเป็นเบียร์ที่ส่วนตัวผมแล้ว รู้สึกจะดื่มยากที่สุดครับ กับ
L'Olmaia:Starship ระดับแอลกอฮอล์ 4.5% เท่านั้น แต่รสขมติดปาก
เป็นเอกลักษณ์มากมายครับ


เชฟจัดสปาเก็ตตี้เส้นปาปาเดลผัดกับกุ้งลายเสือและเห็ดพอตาเบลโล่
ซึ่งผัดกับเหล้าคอนยัคในชื่อ King Prawns Parpardelle(690 บาท)
เป็นเส้นสปาเก็ตตี้แบบแบนขนาดใหญ่สไตล์โฮมเมดผัดกับกุ้งลายเสือ
ขนาดย่อมและเห็ดพอตาเบลโล่กับซอสคอนยัคเข้มข้นแต่กลมกล่อมครับ
จานนี้ยอมรับว่าทานแต่พาสต้า เบียร์ไม่ค่อยถูกปากครับตัวนี้



คู่สุดท้ายกับเบียร์และของหวานทีเด็ดประจำร้าน
ที่ทางร้านจัดมาให้ถึง 2 จานด้วยกันครับสำหรับของหวาน
คือ Maltessers bread pudding เป็นพุดดิ้งขนมปังกรอบซอสมอลท์
ใส่ช็อคโกแล็ตมอลท์กรุบกรอบพร้อมไอศกรีมวนิลาแบบอิตาเลี่ยน(210 บาท)


และอีก 1 ตัดเป็น Pecan Pie พายถั่วพีแคนมาพร้อมกับไอศกรีมวนิลา
เช่นเดียวกัน เป็นของหวานที่อร่อยทั้ง 2 อย่าง


และที่สำคัญเบียร์ที่จับคู่ตัวสุดท้ายกับของหวานนี้เป็นเบียร์ดำซะด้วยครับ
ตัดรสกันอย่างสนุกสนานแต่ไม่หักหาญกัน กับเบียร์ L'Olmaia:BK
เป็นเบียร์ดำระดับแอลกอฮอล์ 6.0% ที่ทานกับของหวานแรงเอาเรื่องนะครับ
แต่เบียร์ดำตัวนี้จะเบา ๆ ไม่หนักเหมือนไอริชเบียร์อย่าง Guinness Stout
ของโปรดของผม จะดื่มลื่น ๆ ใส ๆ ง่ายกว่าครับ 


ก็เป็นอันจบการดื่มด่ำคราฟท์เบียร์ของอิตาเลียนและอาหารหลากหลายแนว
ของร้าน The Beer Bridge โดยฝีมือของเชฟชาลีกันแล้วครับ
หวังว่าภาพอาหารและเกร็ดข้อมูลต่าง ๆ จากรีวิวในครั้งนี้
จะสามารถช่วยประกอบการตัดสินใจเลือกทาน เลือกดื่ม ให้อาหารและเครื่องดื่ม
ได้ผสานไปด้วยกันอย่างสนุกสนานมีความสุขในการเลือกรับประทานนะครับ


สนใจติดต่อสำรองที่นั่ง หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
e-mail:info@thebeerbridge.com
โทร.02-652-1979

ขอให้มีความสุขกับการรับประทานอาหารคู่กับเครื่องดื่มที่ถูกใจนะครับ 

 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น