รีวิวนี้ ผมจะพาไปทานอาหารไทยรสเลิศ ผ่านวัตถุดิบชั้นยอด ในโรงแรมสุดโก้
บนถนนวิทยุ Hotel INDIGO กันครับ กับห้องอาหาร METRO ON WIRELESS
ด้วยฝีมือของเชฟจิมมี่ ที่มากประสบการณ์กับการทำอาหารไทย
ทำให้ห้องอาหาร METRO ON WIRELESS แห่งนี้ เต็มไปด้วยอาหารไทย
ที่มีสีสันและกลิ่นไอจากอาหารทั่วประเทศกว่า 80% ของเมนูเลยล่ะครับ
โดยรสชาติยังคงความเข้มข้นและเต็มเปี่ยมไปด้วยความเป็นไทย
แต่ได้ปรับให้มีสไตล์ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงอาหารไทยให้กับลูกค้าต่างชาติ
ได้ลิ้มชิมรสกันได้อย่างไม่อายว่านี่คืออาหารไทยเลยล่ะครับ เกริ่นกันขนาดนี้
เดี๋ยวมาลองชมภาพอาหารแต่ละเมนูที่ผมได้ลองลิ้มชิมรสกันครับ ว่าจะเริ่ดขนาดไหน
แต่ก่อนอื่นใด ขอพาทัวร์ชมโรงแรมสุดโก้แห่งนี้กันสักนิด
Hotel INDIGO เป็นโรงแรมที่อยู่ในเครือ IHG (Intercontinental Hotel Group)
ที่มีอยู่ทั่วโลก เป็นโรงแรมที่มีสไตล์การตกแต่งที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่
โดยดึงจุดเด่นของแต่ละสถานที่ที่ตั้งของโรงแรม เพื่อสร้างความกลมกลืน
แต่โดดเด่นอย่างมีสไตล์ เข้าถึงได้ง่าย ไปมาสะดวก และพร้อมด้วยการบริการที่ดีเยี่ยม
อย่างที่ ถนนวิทยุ แห่งนี้นั้น ก็สามารถเดินทางสะดวกด้วยรถไฟฟ้า BTS ลงสถานีเพลินจิต
แล้วเดินเข้าสู่ถนนวิทยุมาประมาณ 200 เมตรก็จะเจอกับ ซอยวิทยุ 1 และอาคารวีรสุ
ซึ่งถัดจากอาคารวีรสุมานั่นเองก็คือที่ตั้งของ hotel INDIGO แห่งนี้ครับ
ด้านหน้าโรงแรมมีป้ายบอกชัดเจน
ทางเข้าโรงแรมสู่ล็อบบี้นั้นก็ตกแต่งด้วยไม้ดูเรียบหรู
ภายในล็อบบี้เป็นโถงสูงโปร่ง โล่งสบายตา ตกแต่งด้วยเฟอร์นิเจอร์แนววินเทจ
และโซฟาขนาดใหญ่หลายจุด รวมไปถึงรถสามล้อถีบสีเหลืองสะดุดตาชวนถ่ายภาพด้วย
บริเวณหน้าลิฟท์ก็ตกแต่งด้วยเครื่องเสียง เครื่องดนตรี และทรานซิสเตอร์เก่า ๆ
ดูเข้ากันดีไปหมดครับ
และเนื่องจากผมมาถึงก่อนเวลาห้องอาหารเปิดบริการ
ผมเลยได้ลองขึ้นลิฟท์ไปสำรวจยังชั้น 24 ซึ่งเป็นชั้นของสระว่ายน้ำและฟิตเนส
โดยที่สระว่ายน้ำจะเป็นแบบ Infinity pool (สระแบบไร้ขอบ)
มองแล้วเหมือนว่ายน้ำอยู่บนอากาศ มองวิวทิวทัศน์เมืองกรุงเทพฯ ได้รอบเลยครับ
เป็นอีกจุดของโรงแรมที่น่าประทับใจจริง ๆ
ได้เวลาอันสมควร ผมก็ลงลิฟท์ที่ภายในบุหนังนุ่ม ๆ มายังชั้น 2 ที่เป็นที่ตั้ง
ของจุดหมายในวันนี้ กับห้องอาหาร METRO ON WIRELESS ครับ
ห้องอาหาร METRO ON WIRELESS แห่งนี้ ตกแต่งด้วยสไตล์วินเทจ
ตามธีมของตัวโรงแรม เพดานสูง ทำให้ห้องอาหารดูโปร่งโล่งสบายตา
ไม่อึดอัด เคาท์เตอร์บาร์และอาหารของห้องอาหารก็เป็นแบบเปิดดูดี
การจัดโต๊ะก็ไม่เบียดเสียดกัน เดินผ่านไปมาได้อย่างสบาย
มีที่นั่งให้เลือกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นมุมโซฟา หรือจะเป็นโต๊ะเก้าอี้แบบแยก
และทางห้องอาหารยังสามารถเลือกนั่งได้ทั้งภายในห้องแอร์
หรือจะออกไปนั่งชิล ๆ แบบโอเพ่นแอร์ด้านนอกก็ยังได้ แต่วันที่ผมไปนั้น
อากาศค่อนข้างจะร้อน ทางห้องอาหารเลยไม่ได้จัดโต๊ะสำหรับด้านนอกไว้ครับ
มาดูด้านเมนูอาหารกันบ้าง มีให้เลือกตั้งแต่เครื่องดื่มแบบต่าง ๆ ของทานเล่นขบเคี้ยว
ซุป สลัด พาสต้า เมนคอร์ส ของปิ้งย่าง ซีฟู๊ด ข้าว และของหวาน ครบเลยครับ
อุปกรณ์การรับประทานก็ไม่ซับซ้อนอะไร มีเพียงผ้าเช็ดปาก จาน ช้อน ส้อม มีด
และแก้วน้ำก็เพียงพอแล้วครับกับการรับประทานอาหารในมื้อนี้
ทางห้องอาหารจะมี complimentary ให้ทานเล่นระหว่างรออาหาร
เป็นขนมปังกระเทียมอบกรอบมาหอม ๆ ใหม่ ๆ ครับ
ระหว่างรออาหาร เรามาดูเครื่องดื่มกันก่อน เป็นบางส่วนที่ได้สั่งมาดื่มกัน
และประกอบรีวิวฉบับนี้ด้วยครับ
เริ่มจากเบียร์ มีทั้งแบรนด์ไทย แบรนด์นอก(แบบขวด)
ไวน์แดง ไวน์ขาว สปาร์คกลิ้งไวน์
ค็อกเทลรสดีหลากหลายแบบ
น้ำปั่น ชาเย็น โอวัลตินภูเขาไฟก็ยังมีครับ ได้อารมณ์ไทย ๆ มากครับ
จากนั้นไม่นานอาหารก็เริ่มทะยอยมาเสิร์ฟ
โดยจะเน้นเป็นอาหารไทย ๆ ที่ใช้วัตถุดิบอย่างดีทั้งในไทยเองและต่างประเทศที่คัดมาแล้ว
เริ่มจาก หมูคลุกฝุ่น เมนูนี้มาแบบต้องโชว์กันเล็กน้อย เพราะเครื่องแยกกันมา
ต้องมาเชค ๆ ๆ ๆ ให้เข้ากัน เป็นเมนูที่สนุกสนานดีครับ หมูสันคอติดมันเล็กน้อย
หมักได้รสชาติดี ทอดให้สุกทั่ว แล้วนำเครื่องปรุงมาผสมแล้วเขย่าให้เข้ากัน
ได้รสเผ็ดแซ่บและหอมข้าวคั่ว ทานคู่กับชุดผักที่เสิร์ฟมาพร้อมกัน อร่อยลงตัว
ปิ่นโตเถาเล็กน่ารักชั้นบนบรรจุผักสดมา ส่วนชั้นล่างนั้นเป็นน้ำพริกหนุ่มครับ
แต่ก็ไม่ได้เป็นน้ำพริกหนุ่มแบบเหนือชัดเจน เป็นแบบที่แปลงให้ทานได้ง่าย
เหมาะสำหรับทุกคน เสียดายที่ไม่มีแคบหมูแนมมาด้วยนะครับ
ต่อกันที่ ยำส้มโอ ที่อร่อยมาก ๆ ส้มโอแกะเรียบร้อยแล้วคลุกเคล้าเครื่องยำ
รสชาติดี ไม่เผ็ดเกินไป ทานได้ไม่เบื่อเลยครับ มาพร้อมกับกุ้งที่นำไปย่างหอม ๆ
และมะพร้าวอบกรอบครับ ทานพร้อมยำส้มโอก็เข้ากันแบบขาดกันไม่ได้เลย
ยังคงอยู่ที่จานยำ เรียกน้ำย่อยกันต่อกับ ยำถั่วพลูหอยเชลล์ฮอกไกโด
ยำถั่วพลูเผ็ด ๆ เปรี้ยว ๆ มัน ๆ ครบรส เสิร์ฟคู่กับหอยเชลล์ตัวใหญ่สไลด์พอเหมาะ
แถมยังมีเนื้อปูม้าแกะเรียบร้อยแล้วให้ทานแกล้มกัน เป็นจานเด็ดอีกจานเลยครับ
เรียกน้ำย่อยด้วยจานยำ ๆ กันไปแล้ว หันมาดูของทานเล่น ของแกล้มเครื่องดื่มกัน
จานนี้คือ เนเบอร์ฮูด ออร์เดิร์ฟ ครับ รวมออเดิร์ฟ 4 ชนิด ได้แก่
ไก่สะเต๊ะ เปาะเปี๊ยะทอดไส้เนื้อเป็ด แหนมข้าวทอดห่อใบชะพลู และก๋วยเตี๋ยวลุยสวน
ให้ได้เลือกทานกัน พร้อมกับน้ำจิ้มครบรสชาติเลยครับ
กุ้งชุบแป้งทอด ที่ห้องอาหารเลือกกุ้งฝอยมาทอดเป็นแพ ทำให้โชว์ความกรอบอร่อย
ของแป้งที่นำมาชุบกุ้งทอด ปรุงรสมาเข้ากันดีกับกุ้งฝอย อร่อยแม้จะไม่จิ้มน้ำจิ้มก็ตาม
เปลี่ยนอารมณ์จากอาหารไทย มาดูจานสลัดผัก ๆ กันบ้างครับ
กับ ซีซ่าสลัด รวมผักสลัดใส่ชีส ขนมปังกรอบ เบคอน ปลาแอนโชวี่
และไข่ต้มยางมะตูม ราดน้ำสลัดน้ำใสสไตล์อิตาเลี่ยน สดชื่นจริง ๆ
นอกจากนี้ ยังมี สลัดไก่อโวคาโด ซึ่งเป็นเมนูที่นำอกไก่ทำสุกแบบซูวีย์
ได้เนื้ออกไก่ที่นุ่มชุ่มฉ่ำ สไลด์ทานพร้อมกับสลัดผักที่มีอโวคาโดและเมล็ดทับทิม
ราดน้ำสลัดมัสตาร์ดกลิ่นหอมฉุน สดชื่นไม่แพ้ซีซ่าสลัดเลยครับ
ต่อไปจะเข้าสู่อาหารจานหลัก หรือ เมนคอร์ส กันแล้วล่ะครับ
เริ่มจาก กุ้งแม่น้ำย่าง ขนาดของกุ้งไม่เล็กแต่ก็ไม่ใหญ่โต ประมาณ 3-4 ตัว/กิโลกรัม
ผ่ากลางตัว ย่างมาอย่างดี มีมันกุ้งที่หัวหวานมัน เนื้อกุ้งขาวสวยกรอบเด้งสู้ฟัน
เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู๊ดรสจัดจ้าน และแต่งจานเพิ่มความหอมด้วยใบมะกรูดเผาไฟ
อร่อยพร้อมกันกับกลิ่นหอมสมุนไพร ให้ความเป็นไทยไปในตัวครับ
จานต่อมาคือทีเด็ด เนื้อวากิวย่างจิ้มแจ่ว มาแบบมีเดียมแรร์ ความสุกระดับ
ที่ผมโปรดปราน เสิร์ฟลงบนถาดสังกะสีรองด้วยใบตอง จิ้มแจ่วรสเลิศ
นำเนื้อนอกมาแต่งตัวเป็นอาหารไทยอีสาน ที่ทานเข้าไปแล้วต้องร้องว๊าว
และอยากจะเบิ้ลอีกหลาย ๆ รอบเลยล่ะครับเมนูนี้
พนักงานนำข้าวมาเสิร์ฟ เติมได้ตลอด เป็นข้าวหอมมะลิอย่างดี
และข้าวไรซ์เบอร์รี่ที่เต็มไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ให้เลือกทานตามชอบ
เพราะว่าจานถัด ๆ ไปจะเป็นจานผัดเผ็ดและแกงที่เหมาะจะทานกับข้าวเป็นที่สุด
แกงเผ็ดเป็ดย่าง รสเข้มข้นของแกงเกือบจะออกไปทางแกงคั่วแล้ว
ราดข้าวสวยร้อน ๆ ทานจนแทบหยุดไม่ได้ ยิ่งเคี้ยวเนื้อเป็ดย่างหอม ๆ แล้วด้วยล่ะก็
เป็นอะไรที่ต้องสั่งเลยครับ และทราบมาว่าแกงเผ็ดเป็ดย่างนี้ เป็น 1 ในอาหาร
หลาย ๆ จานที่ได้คิดค้นสูตรมาจากเชฟเอียน กิตติชัย ชื่อดังนั่นเอง
ต่อกันที่ ปลาหิมะผัดฉ่า อีก 1 เมนูที่รังสรรค์โดยเชฟเอียนเช่นกัน
นำวัตถุดิบชั้นดีอย่างปลาหิมะ มาเคล้าคลุกกับเครื่องผัดฉ่าที่นำมาราด
เป็นสไตล์ซอสไทย ๆ ผสมผสานการจัดจานแบบนี้ เพื่อให้เนื้อปลาหิมะ
คงรูปร่างที่สวยงาม ไม่เละไปกับการผัดฉ่าครับ ร้อนแรงครบเครื่อง
เนื้อปลาหิมะก็สด มัน อร่อย เป็นการดึงเอาเอกลักษณ์ของวัตถุดิบ
และเครื่องปรุงมาผสมผสานกันอย่างลงตัว
ถัดมาเป็นจานไฮไลท์ จากฝีมือเชฟเอียนอีก 1 เมนู
กับ ซี่โครงแกะนิวซีแลนด์ย่าง ราดซอสกะเพรา เป็นเมนูที่นำความเป็นไทย
อย่างผัดกะเพรามาผสมกลมกลืนกันกับวัตถุดิบอาหารตะวันตก
โดยการนำเนื้อแกะไปย่างให้สุกกำลังพอเหมาะ แล้วนำมาราดซอสกะเพรา
ที่มีกลิ่นหอม ยั่วยวน ทั้งกลิ่นเนื้อแกะย่างและกลิ่นผัดกะเพรานั้นเข้ากัน
ด้วยรสชาติที่ชวนทานให้หมดจาน พร้อมกับข้าวสวยร้อน ๆ อีกแล้วครับ
ยังอยู่กับเมนูอาหารไทยโดยเชฟเอียน อีกสักจานครับ
จานนี้กับ คั่วกลิ้งหมูสับไข่ระเบิด เป็นอาหารใต้บ้างครับ แต่เป็นแบบปรับลด
ระดับความเผ็ดของเครื่องแกงใต้ลงมา ให้ทานได้ง่ายขึ้น มาพร้อมกับไข่ดาว
ที่ดาวมาแบบไข่แดงไม่สุก เป็นแบบที่ผมชอบอีกแล้ว เวลาทานก็ตักคั่วกลิ้ง
แล้วเจาะไข่แดงให้ไหลเยิ้มคลุกเคล้าพร้อมกับข้าวสวยร้อน ๆ เลยครับ
ปิดท้ายอาหารไทยจานหลักด้วย ปลาเก๋าทอดสามรส
ใช้ปลาเก๋าขนาด 7-8 ขีด ตัวไม่ใหญ่มาก
เหมาะทานกัน 2-3 คน ทอดกรอบนอก เนื้อในขาวนุ่มฟู ราดซอสสามรส
ที่มาครบทั้งเปรี้ยว หวาน เผ็ด แบบกลมกล่อมเข้ากันกับเนื้อปลาครับ
สุดท้ายกับอาหารจานหลัก เมนูตะวันตก กับสปาเก็ตตี้วองโกเล่
เส้นสปาเก็ตตี้ผัดหอม ๆ กับหอยเชลล์ฮอกไกโดและหอยลายตัวใหญ่
รสชาติเค็ม ๆ มัน ๆ เผ็ดติดปลายลิ้นเล็กน้อย ทำให้ทานได้ไม่เบื่อ
และไม่เลี่ยนเลยครับเมนูนี้
มาถึงภาคของหวาน ที่มีทั้งไทย ๆ และเทศ ให้ได้เลือกชิมความอร่อยกัน
ที่อยากแนะนำเมนูแรก คือ เมนูนี้เลยครับ ข้าวกระยาคู ขนมไทยโบราณ
เป็นข้าวอ่อนกวนจนเป็นพุดดิ้งใส่กลิ่นและสีเขียวใบเตย ราดน้ำกะทิ
และมะพร้าวอ่อน ทานพร้อมลูกเดือยต้มและแปะก๊วย รสหวานไม่มาก
แต่ได้ความหอมมันอร่อยมาก ๆ เลยครับ
ถัดมาเป็น ทับทิมกรอบ ที่เก๋ไก๋ด้วยการใส่ไอศกรีมซอฟเสิร์ฟเป็นท็อปปิ้ง
เพิ่มเข้าไป ได้ทานทั้งทิบทิมกรอบอร่อย ๆ พร้อมไอศกรีม เพิ่มความอร่อยเข้าไปอีก
ต่อกันที่ขนมฝรั่งประยุกต์กับเครื่องขนมไทย
อย่างไอศกรีมซอฟท์เสิร์ฟเจลาโต้มะพร้าว ที่มาพร้อมกับเครื่องขนมไทย ๆ
ให้เราเลือกใส่ได้อย่างตามใจชอบครับ
เมนูถัดมา เป็นทีเด็ดกับ เครปกล้วยหอม ที่เสิร์ฟมาพร้อมกับไอศกรีมวนิลา
วิปครีม และกล้วยราดซอสคาราเมล ตัวแป้งเครปนั้นทอดมาได้นุ่ม
เข้ากันกับไส้กล้วยด้านใน ทานพร้อม ๆ กันทุกอย่าง ลงตัวมาก ๆ เลยครับ
ร็อคกี้โร้ด บราวนี่ ถูกเสิร์ฟมาในโถแก้วเก๋ไก๋
ตกแต่งด้วยวิปครีม ช็อคโกแล็ตชิพราดด้วยซอสช็อคโกแล็ตซันเดย์
ใครที่ชื่นชอบช็อคโกแล็ต แนะนำว่าอย่าพลาดเมนูนี้ครับ
สุดท้ายกับ พานาคอตต้า เป็นพานาคอตต้าวนิลา ราดด้วยซอสเบอร์รี่
สีแดงสดใส ตัดกับสีขาวของพานาคอตต้าได้อย่างสวยงาม
รสชาติพานาคอตต้าวนิลาหอมกลมกล่อม ทานกับซอสเบอร์รี่เปรี้ยว ๆ
ยิ่งเข้ากันได้ดีเลยครับ
ผมขอปิดท้ายมื้อกับกาแฟสดหอมกรุ่น คาปูชิโน่ร้อน
ที่มาพร้อมกับซอฟท์คุ้กกี้รสมะกรูดสุดแสนประทับใจครับ
คงความเป็นไทยไว้จนคำสุดท้ายเลย
เป็นอันอิ่มหนำสำราญกับอาหารไทยในโรงแรมเก๋ไก๋
ณ ห้องอาหาร METRO ON WIRELESS โรงแรม hotel INDIGO
กันแล้ว แบบที่ผมประทับใจในรสชาติอาหารไทยของที่นี่
แบบสามารถพาแขกต่างชาติ หรือแม้แต่คนไทยด้วยกันมาทาน
ได้อย่างไม่อายเลยจริง ๆ ครับ ก่อนกลับได้เดินย่อยเล็กน้อย
ลงบันไดมายัง 22 STEPS Cocktail Bar ที่เชื่อมต่อกันกับห้องอาหาร
ซึ่ง 22 STEPS แห่งนี้ เป็นที่ที่ทำ Cocktail อร่อย ๆ ขึ้นมาเสิร์ฟนั่นเองครับ
ถ้ามีโอกาสในวันข้างหน้า จะลองไปใช้บริการแล้วนำมารีวิวบอกต่อกันอีกนะครับ
สนใจสำรองที่นั่ง ติดตามข่าวสารและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
โทร.0-2207-4999
เวลาเปิด-ปิด 06:30-10:30 น. 11:30-14:30 น. และ 16:30-22:30 น.
ให้บริการ อาหารเช้า อาหารมื้อสาย อาหารมื้อกลางวัน มื้อค่ำและของหวาน
ให้บริการ อาหารเช้า อาหารมื้อสาย อาหารมื้อกลางวัน มื้อค่ำและของหวาน
ขอให้มีความสุขสำราญกับการชมรีวิวอาหารไทยและเครื่องดื่มที่น่าพิศมัยกันนะครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น