"ห้องอาหารย่างด้วยเตาถ่าน ผ่านวัตถุดิบพรีเมียม
ตระเตรียมโดยเชฟชั้นยอด พร้อมเครื่องดื่มสาระพัด
ดีจัดเรื่องการบริการ"
วันนี้ขอพามาทานอาหารแบบ Fine Dining กันบ้าง
กับห้องอาหารไฟร์เพลส กริลล์ Fireplace Grill
ที่ได้คว้าตัวเชฟคนใหม่ แต่ฝีมือเก๋าและเก่ง
มารังสรรค์เมนูสุดเจ๋งและสดใหม่ให้ได้ลิ้มลองกัน
กับเชฟ เซบาสเตียน ไรเซอร์
(Chef Sebastian Reischer)
(Chef Sebastian Reischer)
เรามาทำความรู้จักกับเชฟเซบาสเตียน ไรเซอร์
กันสักนิดนะครับ จะได้ทราบถึงดีกรีความอร่อยกัน
เชฟเซบาสเตียน ไรเซอร์ เป็นชาวออสเตรีย
เริ่มต้นจากความหลงไหลในการทำอาหารของคุณแม่
ด้วยการเฝ้าดูอย่างตั้งใจ ทำให้เชฟได้ซึมซับความสนใจ
ในการทำอาหารตั้งแต่นั้นมา
ประสบการณ์การทำอาหารของเชฟเซบาสเตียน
เชฟผ่านห้องอาหารมามากมายทั้งทางทวีปยุโรป
และทวีปเอเชีย รวมถึงได้เคยร่วมงานกับ
เชฟเอียน-พงศ์ธวัช ในการแข่งขันมาสเตอร์เชฟ
เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย
ที่ประเทศสิงคโปร์มาแล้วอีกด้วย
สไตล์การทำอาหารของเชฟนั้น เน้นการผสมผสาน
วัตถุดิบและวิธีปรุงที่แตกต่างกันให้เข้ากันไดอย่างลงตัว
ด้วยศาสตร์และศิลป์ที่มีอยู่ในตัวของเชฟนั้น
ทำให้อาหารของค่ำคืนนี้นั้น อุดมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์
และรสชาติที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร เป็นเอกลักษณ์
ของ เชฟเซบาสเตียน ไรเซอร์ เอง
ทำความรู้จักกับเชฟเซบาสเตียน ไรเซอร์
กันไปแล้ว เรามาชมบรรยากาศของห้องอาหาร
Fireplace Grill กันครับ
เดินเข้ามาสู่ห้องอาหาร ย่างก้าวแรก
กับการมองเห็นภายในห้องอาหารนั้น
ละลานตาไปด้วยชั้นวางเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
นานาชนิด และชั้นไวน์ที่มีไวน์อย่างดี
รวมทั้งแชมเปญ สปาร์คกิ้งไวน์ต่าง ๆ ไว้รอให้เลือก
อย่างละลานตามากครับ
รอบ ๆ ห้อง รอบ ๆ โต๊ะที่นั่ง
ก็จัดเต็มด้วยชั้นไวน์
เพดานห้องอาหารไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไป
ทำให้ไม่รู้สึกโล่งหรืออึดอัดแต่กลับได้รับ
ความรู้สึกอบอุ่นเข้ามาแทน
1 ใน 2 ห้องส่วนตัว Penfolds Grange 10 ที่นั่ง
ไว้บริการแบบ Private Dining
ตรงกลางห้องอาหาร เป็นครัวแบบเปิด
ทำให้เราเห็นการปรุงและรังสรรค์จัดเตรียมวัตถุดิบ
จัดจานเพื่อเสิร์ฟ ได้อย่างเพลิดเพลินครับ
การตกแต่ง สวย หรูหรา น่านั่ง
อีก 1 ห้องสำหรับจัด private ครับ
Veuve Clicquot Room 12 ที่นั่ง
ซึ่งเป็นห้องที่ได้รับเชิญให้มาทานกันที่ห้องนี้
ตกแต่งด้วยแชมเปญยี่ห้อดัง
อุปกรณ์ในการรับประทานในค่ำคืนนี้ครับ
มื้อนี้ทางห้องอาหารจัดน้ำแร่มาเป็นเครื่องดื่มให้
เพื่อให้เราได้รับรู้รสชาติและรสสัมผัสของเมนูใหม่
ที่เชฟเซบาสเตียน ไรเซอร์ รังสรรค์ขึ้นมา
พนักงานนำขนมปังอบ 2 ชนิดมาให้เลือก
เป็นของว่างทานเล่น
ชิ้นนี้เป็นขนมปังฟองกาเซียร์โรล
ทำจากขนมปังขาว หอม นุ่ม รสหวานนำ
บิออกแล้วทาเนยให้ชุ่มฉ่ำ อร่อยมาก
ผมเลยขอลองอีกชนิดนึงด้วย
กับขนมปังฟาร์มาโรล ลักษณะแป้งจะคล้ายโฮลต์วีท
เนื้อจะแข็งกว่าฟองกาเซียร์ และเค็มกว่า
แต่โดยรวมแล้วบิ ทาเนย ก็อร่อยไม่แพ้กัน
คนละสไตล์ครับ
จากนั้นเมนูอาหารก็เริ่มมาเสิร์ฟครับ
เมนูแรกเป็นซุปและของทานเล่น
Asparagus Soup & Asparagus Spring Roll
ครีมซุปหน่อไม้ฝรั่งและเปาะเปี๊ยะหน่อไม้ฝรั่งในซอส
รสชาติครีมซุป อร่อยมาก
เนียนเกือบเป็นโฟม หอมละมุน
รสกลมกล่อมมีเค็มและมันนำหน้ามา
เปาะเปี๊ยะจิ้มซอส ไส้เปาะเปี๊ยะเป็นหน่อไม้ฝรั่งอ่อน ๆ
กรอบทั้งแป้งห่อและเนื้อแน่นของหน่อยไม้ฝรั่ง
เข้ากันได้ดีกับซอสสูตรพิเศษเลยครับ
ตกแต่งจัดจานมาอย่างสวยงามน่ามอง
จานนี้เป็นจานเรียกน้ำย่อยขั้นสุดสำหรับผมเลยครับ
เนื้อวัวชั้นดีสับหยาบเคล้าซอสรสเลิศ
ทานพร้อมกับไข่ปลาคาเวียร์ ครีมชีสแซลมอน
ลงตัวสุด ๆ สัมผัสเบา ๆ นุ่ม ๆ
เหมือนล่องลอยอยู่ในปุยเมฆ
จะทานเปล่า ๆ หรือทานพร้อมขนมปังกรอบ
ก็สุดยอดมาก ๆ ครับเมนูนี้
ดูกันใกล้ ๆ ชัด ๆ จะ ๆ น่ากินเป็นที่สุด
สำหรับ Beef lover นะครับ จานนี้
อร่อยแค่ไหน จานเปล่าเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ
การจัดจาน วางองค์ประกอบได้อย่างมีศิลปะครับ
ดอกกะหล่ำทอดกรอบที่ไม่คิดว่าจะมาอยู่
ในเมนูอาหารฝรั่ง เลิศ!!!
แครกเกอร์ชีสก็กรอบ เค็ม มัน
เนื้อหอยเชลล์ตัวโต นาบผิวบนกระทะร้อนให้พอหอม
แต่ด้านในยังสดเด้งดึ๋งดั๋ง
เมนูนี้ แนะนำให้ทานคู่กันกับทุกสิ่งอย่างในจาน
รสชาติจะระเบิดออกมาพร้อม ๆ กันครับ
อย่าทานแยกนะครับ โดยเฉพาะถ้าได้ทานกับ
ไส้กรอกโซริโซ่ ที่มีรสเค็มและเผ็ดนิด ๆ จะยิ่งอร่อย
จานถัดมาเป็น main course 1 ใน 2 จานที่ได้ลิ้มลอง
Braised Pork Belly
with Scallop, apple mustard, Fried Chorizo and Chicharron
หมูสามชั้นตุ๋น 48 ชั่วโมง
พร้อมหอยเชลล์ทอด โซริโซ่ทอดกรอบ มัสตาร์ดแอปเปิ้ล
และหมูกรอบ (แคปหมู)
จานนี้จัดมาได้เต็ม portion เต็มจานเลยครับ
ด้วยหมูสามชั้นนุ่ม ๆ ซึ่งผ่านการซูวีมาถึง 48 ชั่วโมง
ชิ้นใหญ่พอสมควร หอยเชลล์ทอดตัวใหญ่
ประกบอีกด้านด้วยซอสมัสตาร์ดแอปเปิ้ลกับไส้กรอกโซริโซ่
แล้วท็อปปิ้งด้วยแคปหมูเส้นยาว นำสายตาสู่ความอร่อยลงตัว
เป็นอีก 1 จานที่งดงามครับ
เนื้อหมู 3 ชั้น นั้นก็นุ่ม ไม่แข็งกระด้างในส่วนเนื้อ
และไม่มันทะลักในส่วนมัน กำลังสู้ฟันฉุ่มฉ่ำดี
จะทานเดี่ยวทานรวมกันก็อร่อยครับ
แต่ทุกสิ่งในจานทานรวมกันพร้อมกัน
ผมว่าจะได้รสชาติที่ผสมผสานกัน
ตามเจตนาและสไตล์ของเชฟมากกว่าครับ
เป็นอันเกลี้ยงไปอีก 1 จานครับ ไม่เหลือ!!!
ถัดมากับ maim course อีก 1 เมนู
Challan Duck with Confit duck cigar,
chick pea puree and crispy skin
อกเป็ดทอด สปริงโรลสอดไส้เป็ดตุ๋นและฟิกซ์
พร้อมถั่วลูกไก่บดและหนังเป็ดทอดกรอบ
จานนี้มีพร็อพประกอบนิดนึงเพื่อความสนุกสนาน
เลยเชิญเจ้าหมี kumamon แห่งเมืองคุมะโมโตะ
มาร่วมรับประทานด้วยครับ
จัดจานออกมาอย่างสวยงามมีมิติ
ลักษณะคล้ายสวนหย่อมแบบย่อส่วน
เจ้าหมีนอนหงายร้องไห้หิวโซแล้วครับ
ความนุ่มของอกเป็ดระดับสุดยอด
ตักทานพร้อมกับเครื่องทั้งหมดบนจานครับ
อร่อยมาก ๆ เข้ากันได้ดี
แต่จานนี้ ถ้าทาสแยกบางอย่างจะหวานไป เค็มไป
ต้องทานพร้อมเนื้ออกเป็ดเท่านั้นถึงจะลงตัวที่สุดครับ
หมดเมนูของคาวแล้ว ก็เข้าสู่เมนูของหวาน
Banana
ชีสเค้กกล้วย กับไอศกรีมกาแฟ
ไอศกรีมกาแฟอร่อยมาก
เป็นไอศกรีมที่เป็นกาแฟจริง ๆ
ทั้งรสและกลิ่นครับ วางท็อปปิ้งด้วยสตอร์เบอรรี่
อีกด้านเป็นชีสเค้กรสกล้วย หอมหวานกำลังดี
ทั้ง 2 ส่วนมีเส้นช็อคโกแล็ตลากเชื่อมต่อกันสวยงาม
ทานพร้อม ๆ กันนี่อย่างฟินกับของหวานจานนี้ครับ
และแล้วก็มาสู่ของหวานที่เป็นเซอร์ไพร์สอย่างสุดท้าย
ลักษณะเป็นช็อคโกแล็ตฟองดูว์
แต่จัดการตกแต่งได้เก๋ไก๋ กดถ่ายภาพกันอย่างสนุกสนาน
รวมถึงผมได้ถ่ายเป็นคลิปสั้น ๆ ในตอนท้ายไว้ให้ชมกันด้วยครับ
เรียกได้ว่าเจริญอาหารทั้งทางรูป รส กลิ่น สัมผัสเลยครับ
รสไวท์ช็อคกับมิลค์ช็อคครับ อร่อยทั้งคู่
เริ่มต้นจากความหลงไหลในการทำอาหารของคุณแม่
ด้วยการเฝ้าดูอย่างตั้งใจ ทำให้เชฟได้ซึมซับความสนใจ
ในการทำอาหารตั้งแต่นั้นมา
ประสบการณ์การทำอาหารของเชฟเซบาสเตียน
เชฟผ่านห้องอาหารมามากมายทั้งทางทวีปยุโรป
และทวีปเอเชีย รวมถึงได้เคยร่วมงานกับ
เชฟเอียน-พงศ์ธวัช ในการแข่งขันมาสเตอร์เชฟ
เชฟกระทะเหล็กประเทศไทย
ที่ประเทศสิงคโปร์มาแล้วอีกด้วย
สไตล์การทำอาหารของเชฟนั้น เน้นการผสมผสาน
วัตถุดิบและวิธีปรุงที่แตกต่างกันให้เข้ากันไดอย่างลงตัว
ด้วยศาสตร์และศิลป์ที่มีอยู่ในตัวของเชฟนั้น
ทำให้อาหารของค่ำคืนนี้นั้น อุดมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์
และรสชาติที่แปลกใหม่ไม่ซ้ำใคร เป็นเอกลักษณ์
ของ เชฟเซบาสเตียน ไรเซอร์ เอง
ทำความรู้จักกับเชฟเซบาสเตียน ไรเซอร์
กันไปแล้ว เรามาชมบรรยากาศของห้องอาหาร
Fireplace Grill กันครับ
เดินเข้ามาสู่ห้องอาหาร ย่างก้าวแรก
กับการมองเห็นภายในห้องอาหารนั้น
ละลานตาไปด้วยชั้นวางเครื่องดื่มแอลกอฮอล์
นานาชนิด และชั้นไวน์ที่มีไวน์อย่างดี
รวมทั้งแชมเปญ สปาร์คกิ้งไวน์ต่าง ๆ ไว้รอให้เลือก
อย่างละลานตามากครับ
รอบ ๆ ห้อง รอบ ๆ โต๊ะที่นั่ง
ก็จัดเต็มด้วยชั้นไวน์
เพดานห้องอาหารไม่สูงไม่ต่ำจนเกินไป
ทำให้ไม่รู้สึกโล่งหรืออึดอัดแต่กลับได้รับ
ความรู้สึกอบอุ่นเข้ามาแทน
1 ใน 2 ห้องส่วนตัว Penfolds Grange 10 ที่นั่ง
ไว้บริการแบบ Private Dining
ตรงกลางห้องอาหาร เป็นครัวแบบเปิด
ทำให้เราเห็นการปรุงและรังสรรค์จัดเตรียมวัตถุดิบ
จัดจานเพื่อเสิร์ฟ ได้อย่างเพลิดเพลินครับ
การตกแต่ง สวย หรูหรา น่านั่ง
อีก 1 ห้องสำหรับจัด private ครับ
Veuve Clicquot Room 12 ที่นั่ง
ซึ่งเป็นห้องที่ได้รับเชิญให้มาทานกันที่ห้องนี้
ตกแต่งด้วยแชมเปญยี่ห้อดัง
อุปกรณ์ในการรับประทานในค่ำคืนนี้ครับ
มื้อนี้ทางห้องอาหารจัดน้ำแร่มาเป็นเครื่องดื่มให้
เพื่อให้เราได้รับรู้รสชาติและรสสัมผัสของเมนูใหม่
ที่เชฟเซบาสเตียน ไรเซอร์ รังสรรค์ขึ้นมา
พนักงานนำขนมปังอบ 2 ชนิดมาให้เลือก
เป็นของว่างทานเล่น
ชิ้นนี้เป็นขนมปังฟองกาเซียร์โรล
ทำจากขนมปังขาว หอม นุ่ม รสหวานนำ
บิออกแล้วทาเนยให้ชุ่มฉ่ำ อร่อยมาก
ผมเลยขอลองอีกชนิดนึงด้วย
กับขนมปังฟาร์มาโรล ลักษณะแป้งจะคล้ายโฮลต์วีท
เนื้อจะแข็งกว่าฟองกาเซียร์ และเค็มกว่า
แต่โดยรวมแล้วบิ ทาเนย ก็อร่อยไม่แพ้กัน
คนละสไตล์ครับ
จากนั้นเมนูอาหารก็เริ่มมาเสิร์ฟครับ
เมนูแรกเป็นซุปและของทานเล่น
Asparagus Soup & Asparagus Spring Roll
ครีมซุปหน่อไม้ฝรั่งและเปาะเปี๊ยะหน่อไม้ฝรั่งในซอส
รสชาติครีมซุป อร่อยมาก
เนียนเกือบเป็นโฟม หอมละมุน
รสกลมกล่อมมีเค็มและมันนำหน้ามา
เปาะเปี๊ยะจิ้มซอส ไส้เปาะเปี๊ยะเป็นหน่อไม้ฝรั่งอ่อน ๆ
กรอบทั้งแป้งห่อและเนื้อแน่นของหน่อยไม้ฝรั่ง
เข้ากันได้ดีกับซอสสูตรพิเศษเลยครับ
จานถัดมาเป็น appetizer ครับ กับ
Beef Tartar
with Smoked
Salmon Cream and Cavier, Toast
ทาร์ทาร์เนื้อ
เสิร์ฟกับคาเวียร์ แซลม่อนครีมชีส
และขนมปังปิ้ง
ตกแต่งจัดจานมาอย่างสวยงามน่ามอง
จานนี้เป็นจานเรียกน้ำย่อยขั้นสุดสำหรับผมเลยครับ
เนื้อวัวชั้นดีสับหยาบเคล้าซอสรสเลิศ
ทานพร้อมกับไข่ปลาคาเวียร์ ครีมชีสแซลมอน
ลงตัวสุด ๆ สัมผัสเบา ๆ นุ่ม ๆ
เหมือนล่องลอยอยู่ในปุยเมฆ
จะทานเปล่า ๆ หรือทานพร้อมขนมปังกรอบ
ก็สุดยอดมาก ๆ ครับเมนูนี้
ดูกันใกล้ ๆ ชัด ๆ จะ ๆ น่ากินเป็นที่สุด
สำหรับ Beef lover นะครับ จานนี้
อร่อยแค่ไหน จานเปล่าเป็นเครื่องพิสูจน์ครับ
จานถัดมาที่ได้ลิ้มลอง ยังคงเป็น appetizer อีก 1 เมนูใหม่
Pan
Fried Scallops
with Cauliflower
Espuma, Crispy Cauliflower,
Chorizo, Parmesan Crunch
หอยเชลล์ทอด
เสิร์ฟพร้อมดอกกระหล่ำทอดกรอบ
ไส้กรอกโซริโซ่(ไส้กรอกสเปน) และ พามาซานแครกเกอร์
การจัดจาน วางองค์ประกอบได้อย่างมีศิลปะครับ
ดอกกะหล่ำทอดกรอบที่ไม่คิดว่าจะมาอยู่
ในเมนูอาหารฝรั่ง เลิศ!!!
แครกเกอร์ชีสก็กรอบ เค็ม มัน
เนื้อหอยเชลล์ตัวโต นาบผิวบนกระทะร้อนให้พอหอม
แต่ด้านในยังสดเด้งดึ๋งดั๋ง
เมนูนี้ แนะนำให้ทานคู่กันกับทุกสิ่งอย่างในจาน
รสชาติจะระเบิดออกมาพร้อม ๆ กันครับ
อย่าทานแยกนะครับ โดยเฉพาะถ้าได้ทานกับ
ไส้กรอกโซริโซ่ ที่มีรสเค็มและเผ็ดนิด ๆ จะยิ่งอร่อย
จานถัดมาเป็น main course 1 ใน 2 จานที่ได้ลิ้มลอง
Braised Pork Belly
with Scallop, apple mustard, Fried Chorizo and Chicharron
หมูสามชั้นตุ๋น 48 ชั่วโมง
พร้อมหอยเชลล์ทอด โซริโซ่ทอดกรอบ มัสตาร์ดแอปเปิ้ล
และหมูกรอบ (แคปหมู)
จานนี้จัดมาได้เต็ม portion เต็มจานเลยครับ
ด้วยหมูสามชั้นนุ่ม ๆ ซึ่งผ่านการซูวีมาถึง 48 ชั่วโมง
ชิ้นใหญ่พอสมควร หอยเชลล์ทอดตัวใหญ่
ประกบอีกด้านด้วยซอสมัสตาร์ดแอปเปิ้ลกับไส้กรอกโซริโซ่
แล้วท็อปปิ้งด้วยแคปหมูเส้นยาว นำสายตาสู่ความอร่อยลงตัว
เป็นอีก 1 จานที่งดงามครับ
เนื้อหมู 3 ชั้น นั้นก็นุ่ม ไม่แข็งกระด้างในส่วนเนื้อ
และไม่มันทะลักในส่วนมัน กำลังสู้ฟันฉุ่มฉ่ำดี
จะทานเดี่ยวทานรวมกันก็อร่อยครับ
แต่ทุกสิ่งในจานทานรวมกันพร้อมกัน
ผมว่าจะได้รสชาติที่ผสมผสานกัน
ตามเจตนาและสไตล์ของเชฟมากกว่าครับ
เป็นอันเกลี้ยงไปอีก 1 จานครับ ไม่เหลือ!!!
ถัดมากับ maim course อีก 1 เมนู
Challan Duck with Confit duck cigar,
chick pea puree and crispy skin
อกเป็ดทอด สปริงโรลสอดไส้เป็ดตุ๋นและฟิกซ์
พร้อมถั่วลูกไก่บดและหนังเป็ดทอดกรอบ
จานนี้มีพร็อพประกอบนิดนึงเพื่อความสนุกสนาน
เลยเชิญเจ้าหมี kumamon แห่งเมืองคุมะโมโตะ
มาร่วมรับประทานด้วยครับ
จัดจานออกมาอย่างสวยงามมีมิติ
ลักษณะคล้ายสวนหย่อมแบบย่อส่วน
เจ้าหมีนอนหงายร้องไห้หิวโซแล้วครับ
ความนุ่มของอกเป็ดระดับสุดยอด
ตักทานพร้อมกับเครื่องทั้งหมดบนจานครับ
อร่อยมาก ๆ เข้ากันได้ดี
แต่จานนี้ ถ้าทาสแยกบางอย่างจะหวานไป เค็มไป
ต้องทานพร้อมเนื้ออกเป็ดเท่านั้นถึงจะลงตัวที่สุดครับ
หมดเมนูของคาวแล้ว ก็เข้าสู่เมนูของหวาน
Banana
ชีสเค้กกล้วย กับไอศกรีมกาแฟ
ไอศกรีมกาแฟอร่อยมาก
เป็นไอศกรีมที่เป็นกาแฟจริง ๆ
ทั้งรสและกลิ่นครับ วางท็อปปิ้งด้วยสตอร์เบอรรี่
อีกด้านเป็นชีสเค้กรสกล้วย หอมหวานกำลังดี
ทั้ง 2 ส่วนมีเส้นช็อคโกแล็ตลากเชื่อมต่อกันสวยงาม
ทานพร้อม ๆ กันนี่อย่างฟินกับของหวานจานนี้ครับ
และแล้วก็มาสู่ของหวานที่เป็นเซอร์ไพร์สอย่างสุดท้าย
ลักษณะเป็นช็อคโกแล็ตฟองดูว์
แต่จัดการตกแต่งได้เก๋ไก๋ กดถ่ายภาพกันอย่างสนุกสนาน
รวมถึงผมได้ถ่ายเป็นคลิปสั้น ๆ ในตอนท้ายไว้ให้ชมกันด้วยครับ
เรียกได้ว่าเจริญอาหารทั้งทางรูป รส กลิ่น สัมผัสเลยครับ
รสไวท์ช็อคกับมิลค์ช็อคครับ อร่อยทั้งคู่
แล้วก็ถึงบทสรุปส่งท้ายสำหรับการรีวิวเมนูอาหารใหม่
จากฝีมือเชฟคนใหม่ เชฟเซบาสเตียน ไรเซอร์
ที่แสนจะอร่อย สะกดทุกสายตาและอารมณ์
เมื่อได้ชมอาหารที่อยู่ตรงหน้า และได้ลิ้มรสชาติ
แปลกใหม่ ผสมผสานกันอย่างลงตัว
ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และสไตล์เฉพาะตัว
ของเชฟเซบาสเตียน ไรซ์เซอร์อีกด้วยครับ
และสุดท้ายของท้ายที่สุด ผมมีของเล็ก ๆ น้อย ๆ
มามอบให้เพื่อน ๆ ที่สนใจอยากไปลิ้มลองเมนูใหม่
จากฝีมือเชฟเซบาสเตียน ไรเซอร์
แห่งห้องอาหาร Fireplace Grill
หรือจะเป็นอีก 3 ห้องอาหารทั้ง Grossi, Summer Palace
และห้องอาหาร Espresso
เป็นบัตรส่วนลดค่าอาหาร 25% ทั้งบิล
และยังมีบัตรสมนาคุณ แชมเปญ 1 แก้วฟรี
เมื่อทานอาหารที่ห้องอาหาร Fireplace Grill
ครบ 2,000 บาทอีกด้วยครับ
ผมมีให้อย่างละ 3 รางวัลครับให้เป็นคู่กัน
สำหรับผู้โชคดี 3 ท่าน
เพียงเขียนตอบคอมเม้นต์ในบทความรีวิวนี้
ว่าชอบและอยากไปทานเมนูไหนมากที่สุด
พร้อมกดแชร์บทความรีวิวนี้ไปยังหน้า social ของตัวเอง
ผมจะทำการสุ่มจับฉลากชื่อขึ้นมาแล้วจะติดต่อกลับไปหาครับ
สนใจติดต่อสำรองที่นั่งหรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
โทร : 0-2656-0444 ต่อ 5500
www.icbangkok.com
รายละเอียดห้องอาหาร Fireplace Grill
ชั้น G โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพฯ
เวลาเปิดบริการ มื้อกลางวัน 12.00-14.30 น.(จันทร์-ศุกร์)
มื้อเย็น 18.30-22.30 น.
จำนวนที่นั่ง 65 ที่นั่งในห้องโถง
ห้องส่วนตัว 2 ห้อง 10 และ 12 ที่นั่ง
จุดเด่น อาหารย่างด้วยเตาถ่านไม้ทั้งเนื้อสัตว์และซีฟู๊ด
ของหวานชั้นดี และไวน์ชั้นยอดทั้งในโลกเก่าและโลกใหม่