พื้นที่โฆษณาส่วนหัว

พื้นที่โฆษณาส่วนหัว
ติดต่อโฆษณา โทร.086 6688 327

วันอาทิตย์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2558

Buffet DimSum @ Lin fa



รีวิวนี้ จะพาไปทานอาหารจีนเบา ๆ สไตล์ติ่มซำกันบ้างครับ
ถึงจะบอกว่าเบา ๆ แต่เอาเข้าจริง ๆ ถ้าทานได้แบบไม่อั้น
ก็คงจะไม่เบากันแล้วล่ะครับ กับบุฟเฟ่ต์ติ่มซำ ที่ ห้องอาหารหลินฟ้า
โรงแรมสุโกศลกรุงเทพฯ กันครับ


ก่อนหน้านั้น ผมได้เคยมาทำรีวิวโต๊ะจีนที่ห้องอาหารนี้แล้วครับ
(ย้อนกลับไปดูได้ที่ลิงค์นี้เลย โต๊ะจีนมงคลห้องอาหารหลินฟ้า)
ได้สัมผัสความอร่อยแบบจัดเต็มฟูลคอร์สอาหารจีนไปแล้ว
ครั้งนี้ก็เลยขอกลับมาสัมผัส ลิ้มชิมรสชาติความอร่อยของ
อาหารเบา ๆ เข้ากันกับน้ำชา ทานไปดื่มไปคุยกันไป
ตามสไตล์อาหารติ่มซำครับ ซึ่งห้องอาหารหลินฟ้า ทำออกมา
ได้ดีเลยล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็นรสชาติ คุณภาพวัตถุดิบ การบริการ
สมกับราคาท่านละ 695++ บาท (ประมาณ 818 บาท net)
แม้ว่าเมนูจะมีให้เลือกไม่หลากหลายชนิดมากนัก
แต่ตัวหลัก ๆ ของติ่มซำนั้นมีให้ทานได้ครบอย่างไม่อั้น
ตัวไหนใส่กุ้ง กุ้งก็เป็นกุ้ง ไม่มีหวงเครื่องกันเลยครับ
แถมแต่ละเข่ง แต่ละจานก็ทำสดใหม่ เพราะเหตุนี้เวลาทานติ่มซำ
ชั้นดี รสเลิศ เราต้องใจเย็น ๆ อย่าใจร้อนเหมือนติ่มซำที่เสิร์ฟใหม่ ๆ นะครับ


เมนูของหลินฟ้า จะแบ่งออกเป็น ของนึ่ง
ของทอด ซาลาเปา ซึ่งสั่งได้ไม่จำกัดจำนวนจาน/เข่ง



แต่สำหรับเมนูซุป ก๋วยเตี๋ยว และของหวานนั้น
จำกัดสั่งได้ท่านละ 1 อย่างจากช้อยส์ที่มีให้เลือกครับ 


เรามาดูกันเลยดีกว่า ว่าแต่ละอย่างหน้าตาเป็นยังไงกันบ้าง
ซึ่งผมอาจจะลงไม่ครบทุกเมนู เพราะบางเมนูไม่ได้สั่งมาลอง
ผมลองเฉพาะที่ชอบและคุ้นเคยสำหรับทุกท่าน
เพื่อนำภาพมาให้ดูเผื่ออยากจะเปรียบเทียบกับที่อื่น ๆ นะครับ


เริ่มจากเครื่องดื่ม ผมสั่งเป็นเก๊กฮวยร้อนและเย็น
น้ำเก็กฮวยเป็นเครื่องดื่มประจำสำหรับผมเวลาทานติ่มซำ
ซึ่งผมจะสั่งแบบไม่หวาน ดื่มแบบร้อน ซึ่งทางห้องอาหาร
ก็ใช้เก็กฮวยคุณภาพดีเลยครับ หอมละมุน



แล้วเมนูต่าง ๆ ที่สั่งก็ทะยอยกันมา ส่วนใหญ่ที่จะมาเสิร์ฟก่อนนั้น
จะเป็นของทอดครับ

เริ่มด้วย เปาะเปี๊ยะฟองเต้าหู้ทอด
ตัวเปาะเปี๊ยะนั้นนำฟองเต้าหู้มาใช้แทนแป้ง
ไส้ด้านในเป็นกุ้งเต็ม ๆ รสชาติดี กรอบนอกจากฟองเต้าหู้ทอด
กรอบเด้งในจากความสดของกุ้งครับ



จานต่อมาเป็น เปาะเปี๊ยะทอด
ตัวเปาะเปี๊ยะเป็นแป้งห่อไส้ที่คุ้นเคยกันแล้วครับ
ไส้ด้านในเป็นไส้รสออกหวานคล้ายไช้โป้วสับผสมเนื้อหมูบด
และเห็ดหอม กรอบ ๆ รสชาติทานง่ายดีครับ


เต้าหู้ทอด เป็นเต้าหู้แข็งมาทอดกรอบ นำมาจิ้มกับน้ำจิ้ม
จานนี้ธรรมดาครับ


จากนั้นของนึ่งที่สั่งไปชุดแรกก็มาครับ

เริ่มด้วย ขนมจีบซิวหมาย หรือ ขนมจีบหมูกุ้ง ที่คุ้นเคย
ขนาดของขนมจีบกำลังดี ไส้หมูกุ้งก็เลิศ เคี้ยวไปได้กุ้งมากกว่าหมูครับ




ขนมจีบปู อร่อยไม่แพ้ขนมจีบกุ้ง แป้งห่อจะเป็นสีขาว
มีเนื้อปูอยู่ด้านในพร้อมกับเนื้อกุ้งที่กรอบเด้ง เข่งนี้ละมุนปากมากครับ




ฮะเก๋า ทีเด็ด แป้งบางใส ไส้กุ้งเป็นชิ้นเป็นอัน อร่อยมาก ๆ
กลิ่นหอมของฮะเก๋าเข่งนี้ ติดใจจริง ๆ ครับ


ฝั่นโก๋สไตล์แต้จิ๋ว แป้งใส ไส้ผักผัด กลิ่นแล้วสดชื่นดีครับ


ปรับรสชาติให้เข้มข้นขึ้น กับ ซี่โครงหมูเต้าซี่
ใช้ซี่โครงแข็งติดอ่อน และแบบเนื้อไม่ติดกระดูก
มานึ่งรวมกัน ได้หลายสัมผัสในจานเดียว รสชาติดีครับ



กุ้งนึ่งมะนาว กุ้งสดนึ่ง ๆ มากรอบเด้ง ราดด้วยน้ำซอส
พริกมะนาวรสเปรี้ยว เรียกน้ำลายตัดเลี่ยนไปพร้อมกัน แนะนำเลย


เนื้อปลาเห็ดหอมน้ำแดง อันนี้ลืมถ่ายภาพเดี่ยว ๆ มาครับ
เนื้อปลาสด ซอสน้ำแดงกลมกล่อมอร่อย

กรรเชียงปูนึ่งราดซอสผงกะหรี่ กรรเชียงปูสดแน่น
กับซอสผงกะหรี่สไตล์จีน หอม หวาน ทานง่ายและไม่เบื่อครับ


ก๋วยเตี๋ยวหลอดหมูแดง น้ำซอสที่ราดหอมอร่อย
ไส้หมูแดงนุ่ม ๆ หั่นเต๋าละเอียด ๆ เคี้ยวง่ายพร้อมกับแป้งก๋วยเตี๋ยว



สำหรับของนึ่งก็สั่งวนเวียนอยู่ประมาณนี้ครับ
มาดูทางด้านซุปกันบ้าง มีให้เลือก 3 อย่าง
ผมเลือกเป็นซุปเสฉวน ซึ่งเป็นซุปเสฉวนที่อร่อยถูกปากผมที่สุด
เท่าที่เคยลองซุปเสฉวนมาหลาย ๆ ร้านครับ


ผมเห็นมีซุปข้าวโพดด้วย เลยลองขอมาชิมซึ่งผมคิดว่า
ทานติ่มซำ ไม่น่าจะเข้ากันกับซุปข้าวโพดครับ
เลือกอีกตัวคือซุปเกี๊ยวน้ำกุ้ง น่าจะดีกว่านะครับ


จานก๋วยเตี๋ยว ที่ผมเลือกมาลองนั้น ขอเพียงจานเดียว
เพราะเริ่มอิ่มกับติ่มซำแล้วล่ะครับ ซึ่งผมเลือก
ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าเนื้อ (แต่แอบอยากลองทั้งเต้าซี่และโกยซีหมี่เลย)
เส้นใหญ่ผัดมาหอมกระทะ กับน้ำราดหน้าเนื้อที่เนื้อนุ่ม
กับผักคะน้าฮ่องกงกรอบ ๆ ทำให้เกือบลืมอิ่มครับ



แวะมาที่ซาลาเปาบ้าง
ผมเลือกซาลาเปาไส้ครีมมาลองครับ เพราะโดยส่วนตัว
ไม่ค่อยถนัดทานซาลาเปา เลยขอลองแบบของหวานแทน
ซึ่งตัวแป้งไม่บางไม่หนาเกินไป ไส้ครีมครับ รสอร่อยดีแต่สำหรับผม
อยากได้ไส้ที่น่าจะเหลวและเนียนกว่านี้อีกสักนิด



ส่วนของหวานนั้น เลือกเป็น บัวลอยน้ำขิง งาดำในตัวบัวลอย
อร่อยเข้ากันได้ดีและลงตัวกับน้ำขิงร้อน ๆ เผ็ด ๆ อีกด้วย


แล้วก็ปิดท้ายล้างปากด้วยผลไม้รวมอีกสักจานครับ
ผลไม้หวานดี ๆ ปิดท้ายมื้อ


ห้องอาหารหลินฟ้า Lin-fa กับเมนูบุฟเฟ่ต์ติ่มซำ
สำหรับของนึ่งผมถือว่าคุณภาพเยี่ยมยอด รวมถึงของทอดในบางตัว
ซุปเสฉวนและจานก๋วยเตี๋ยวราดหน้า รสชาติดี มีวัตถุดิบที่มีคุณภาพ
ทำออกมาสดใหม่ชวนรับประทานมาก ๆ ครับ

สนใจสำรองที่นั่งหรือติดต่อสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
โทร.0-2247-0123 ต่อ 1820
http://www.thesukosol.com/th
https://www.facebook.com/TheSukosolBangkok
https://www.facebook.com/myLinFa

ขอให้ทุกท่านอิ่มอุ่นสบายท้องกับติ่มซำรสเลิศในทุก ๆ คำนะครับ

วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2558

The Beer Bridge Italian Craft Beer Version



รีวิวนี้ เกิดขึ้นได้เพราะได้รางวัลจากการเขียนรีวิวลงใน OpenriceThailand อีกครั้งครับ
กับงาน Openrice Party ครั้งที่ 37 ที่จัดขึ้น ณ ร้าน The Beer Bridge ชั้น 1
โครงการ The Portico หลังสวน 

 
ซึ่งโครงการแห่งนี้มีร้านอาหารอีกหลายร้านเลยครับ
แต่วันนี้เรามาโฟกัสกันที่ ร้าน The Beer Bridge กันครับ


และที่สำคัญและดีงาม
คือวันนี้ จะได้ลิ้มชิมรสชาติของคราฟท์เบียร์(เบียร์ที่หมักบ่มแบบเล็ก ๆ)
หรือที่เป็นแนว micro brewery จากประเทศอิตาลีกันถึง 7 ชนิด ที่จะมาจับคู่
กับอาหารต่าง ๆ จากฝีมือเชฟชาลี ถึง 7 สไตล์ด้วยกันครับ
ซึ่งเบียร์แต่ละขวด/แก้ว และอาหารแต่ละจานนั้น
หน้าตา รสชาติ และความเข้ากันจะเป็นอย่างไร เรามาติดตามกันเลยดีกว่าครับ


แต่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ ขอพาชมบรรยากาศร้านกันก่อนครับ
ด้วยสไตล์ร้านที่มีทั้งแบบโอเพ่นแอร์ และแบบห้องปรับอากาศกระจกใสรอบร้าน
รูปแบบโต๊ะเก้าอี้ที่นั่งหลากหลายให้เลือกได้ตามความถนัดและความชอบ 



 
ซึ่งโซนโอเพ่นแอร์หน้าร้านนั้น จะมีดนตรีสดเล่นให้ฟังกันครับ

 

ภายในร้านมีเคาท์เตอร์บาร์ขนาดใหญ่ พร้อมหัวจ่ายเบียร์สดแบบน้ำแข็งเกาะ -4 องศา
แค่เห็นน้ำลายก็แตกฟองตามฟองเบียร์ในจินตนาการเลยครับ


เบียร์จะมีหลากหลายมาก นอกจากนั้นก็ยังมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ชนิดต่าง ๆ
ไว้คอยบริการ หรือจะเป็นแนวไร้แอลกอฮอล์ร้านก็จัดได้อย่างดีทีเดียวครับ


ซึ่งก่อนที่จะเข้าสู่ธีมงานปาร์ตี้นั้น ผมก็ได้ลองสั่ง mocktail และเบียร์อื่น ๆ
มาลองชิมแบบรองท้องกันซักหน่อย ซึ่ง mocktail ที่เป็นเมนูยอดนิยมของร้าน
ก็ทำออกมาได้ดีเลยล่ะครับ ทั้งแบบผสมรสเสาวรส สตอเบอร์รี่ และแอปเปิ้ล เป็นต้น


สำหรับเบียร์ก็มีทั้งเบียร์สดนานาประเทศ รวมถึงเบียร์สดให้เลือกกันอย่างมากมาย
สมชื่อร้านกันเลยทีเดียว



รวมถึงเบียร์ไม่มีแอลกอฮอล์เก๋ ๆ ด้วย


แต่ว่าวันนี้งานปาร์ตี้จะเน้นเป็นคราฟท์เบียร์จากอิตาลี
เลยต้องเบรค ๆ ตัวเองกันสักนิดครับ


เอาเป็นว่า เรามาดูเบียร์แก้วแรกกันเลยดีกว่า เป็นคราฟท์เบียร์
ที่เหมาะกับอาหารแนวทาปาส(ทานเล่นกึ่งจริงจัง)
กับ Menabrea เป็นลาเกอร์เบียร์ระดับเหรียญทอง
รสชาติและความหอมสมรางวัลครับ ระดับแอลกอฮอล์ 4.8%



มาจับคู่พร้อมทานกับทาปาสกว่า 8 ชนิดที่รสชาติแตกต่างกัน
แต่ก็เข้ากันได้ดี (ราคาตั้งแต่ 90-270 บาท)


ไม่ว่าจะเป็น Shrimp in Basil and Garlic Oil
กุ้งผัดน้ำมันกระเทียมและใบโหระพา รสชาติจัดจ้าน



Raw Tuna ปลาทูน่าปรุงสไตล์ยุกเกะแบบญี่ปุ่น
เย็น ๆ เค็ม ๆ หวาน ๆ มัน ๆ



Onsen Egg ไข่ลวกแบบออนเซ็นมาพร้อมขนมปัง ชีส
และซอสโบโลญเนสเข้มข้น



Chorizo on Espelette Toasted ไส้กรอกโชริโซ่ย่างบนขนมปัง
ที่กัดกินได้อย่างเอร็ดอร่อย



Cream Snapper Seared with Lime & Chilli Venegrette
ปลากะพงนาบกระทะพอสุก เสริฟพร้อมซอสน้ำส้มพริกมะนาว
ละมุนชื่นใจ



Fired Lamb Meat Ball มีทบอลเนื้อแกะสับทอดกรอบนอกฉ่ำใน
แทบไม่เจอกลิ่นสาปของเนื้อแกะเลยล่ะครับ


Spicy Merguez เต้าหู้ทอดรสเผ็ดที่ให้ความรู้สึกน่าแปลกใจ


Chicken Heart หัวใจไก่ย่างราดซอสสูตรเด็ด
หนึบ ๆ เคี้ยวเพลิน ๆ ดีครับ แกล้มเบียร์อร่อย


และยังมีไส้กรอกที่หน้าตาและรสชาติคล้ายไส้อั่ว
แต่เครื่องเทศไม่จัดจ้านเท่าอีกจานด้วยครับ


จบคู่เบียร์กับทาปาสไปแล้ว ถัดมาเป็นคู่เบียร์กับสลัดกันบ้างครับ
เบียร์ที่จะนำมาคู่กับสลัดนั้น เป็น Birra Roma:Bionda
ที่มีรสอ่อนละมุนยังคงเป็นสไตล์ลาเกอร์เบียร์ สีบลอนด์
มีเนื้อและกลิ่นหอมของฮ็อบที่โดดเด่น มีเนื้อเบียร์ทิ้งตัว
อยู่ที่ก้นแก้ว ระดับแอลกอฮอล์  5.2%



เชฟได้จัดสลัดมาให้ถึง 2 จาน 2 สไตล์ให้ได้ลิ้มลองคู่กับเบียร์
เป็น Chef's Salad(480 บาท)ทั้ง 2 จานครับ จานแรกเป็นสไตล์ใส ๆ มาพร้อมไข่ดาวน้ำ
ที่ไข่แดงยังไม่สุก(ลักษณะคล้ายต้มในน้ำส้มสายชูเหมือนเอ๊กเบเนดิกต์)
รสชาติอร่อยราดด้วยสลัดน้ำใสสไตล์อิตาเลี่ยน



อีกจานมากับไก่ เบล็อตต้าแฮมและมะกอกดอง ก็เข้ากับผักราดด้วยน้ำสลัดใส
สไตล์เมดิเตอเรเนี่ยน 


จบจากสลัดก็มาเป็นจานที่หนักขึ้นกับ Fired Chicken Sandwich
แซนวิชไก่ทอดใส่แยมเบคอนราดเกรวี่(290 บาท)
เป็นแซนวิชและเนื้อไก่ทอดส่วนสะโพกที่ใหญ่มาก
เห็นแล้วอยากจะอิ่ม แต่ก็ต้องลิ้มชิมรสชาติถึงความกรอบนอกนุ่มใน
ของเนื้อไก่ที่ผ่านการหมักและชุบแป้งทอดมาอย่างดี
ขนมปังแข็งกรอบสไตล์บาแก๊ทของฝรั่งเศสท็อปปิ้งด้วยเบคอนกรอบ
และหอมแขก ก่อนทานก็ทำการราดซอสแยมเบคอนเกรวี่ให้ได้รสชาติ
อย่างที่เชฟตั้งใจคิดค้นออกมา เป็นอีกจานที่หาร 3 น่าจะเหมาะกว่าครับ
เพราะจานนี้ใหญ่จริง ๆ



โดยจับคู่กับเบียร์ Birradamare:Chiara เบียร์สไตล์พิลส์เนอร์
มีกลิ่นหอมของดอกไม้ป่า ความเข้มข้นของเบียร์ ระดับแอลกอฮอล์ 4.9%
และกลิ่นหอมผสมผสานกันได้อย่างลงตัวเหมาะกับการทานกับของทอด ๆ
ของแห้ง ๆ ได้ดีทีเดียวครับ


เบียร์ตัวต่อมาเป็น Birra Roma:Ambrata ที่มีสีออกทองแดง
กลิ่นมีเอกลักษณ์มากขึ้น ระดับแอลกอฮอล์ 5.5%
เหมาะสำหรับจานเนื้อแดง เช่นเนื้อหมู เนื้อวัวและเนื้อแกะ


ซึ่งจัดมาจับคู่ทานกับไส้กรอกรวม Mixed Sausage และมันฝรั่งปรุงรส(530 บาท)
ไส้กรอกรวม 3 ชนิดที่ประกอบไปด้วย ไส้กรอกเลือด ไส้กรอกหมูและไส้กรอกลูกวัว
ทั้ง 3 ชนิดรสชาติความอร่อยไม่ซ้ำกัน เคี้ยวได้เพลินเมื่อดื่มกับเบียร์





ถัดมาเป็นจานเนื้อแดงแห่งร้านนี้ก็ว่าได้ กับ
AUS Wagyu Rib Eye สเต็กริบอายซอสไวน์แดงแลกระเทียมอบ(1,650 บาท)
เนื้อออสเตรเลี่ยนวากิวชิ้นใหญ่ประมาณ 400 กรัม ผ่านการย่างมาอย่างดี
ระดับความสุกอาจจะดูไม่เท่ากันทั้งชิ้น ดูแล้วมีตั้งแต่ medium จนถึง done
คาดว่าจะทำมาเพื่อการแชร์แบ่งกันทาน ใครชอบระดับความสุกแบบไหน
ก็ทานแบบนั้น มาพร้อมซอสไวน์แดงรสกลมกล่อมและกระเทียม+ผักอบหลากชนิด
จัดเสิร์ฟในถาดอลูมิเนียมเก๋ไก๋ ดูดิบ ๆ ดีครับ


 
จับคู่กับ ALE เบียร์สีทองแดง Birradamare:Rossa ที่รสชาตินุ่มละมุน
ถูกปากผมที่สุด แถมยังแกล้มกับเนื้อชั้นดีที่ผมชอบที่สุดอีกต่างหาก
นวลปากนุ่มคอมากสำหรับเบียร์ตัวนี้ ระดับแอลกอฮอล์เบาะ ๆ ที่ 6.3%


เบียร์ตัวต่อมาเป็นตัวที่จะมาจับคู่กับพวกอาหารทะเลและอาหารรสจัดบ้างครับ
ซึ่งเป็นเบียร์ที่ส่วนตัวผมแล้ว รู้สึกจะดื่มยากที่สุดครับ กับ
L'Olmaia:Starship ระดับแอลกอฮอล์ 4.5% เท่านั้น แต่รสขมติดปาก
เป็นเอกลักษณ์มากมายครับ


เชฟจัดสปาเก็ตตี้เส้นปาปาเดลผัดกับกุ้งลายเสือและเห็ดพอตาเบลโล่
ซึ่งผัดกับเหล้าคอนยัคในชื่อ King Prawns Parpardelle(690 บาท)
เป็นเส้นสปาเก็ตตี้แบบแบนขนาดใหญ่สไตล์โฮมเมดผัดกับกุ้งลายเสือ
ขนาดย่อมและเห็ดพอตาเบลโล่กับซอสคอนยัคเข้มข้นแต่กลมกล่อมครับ
จานนี้ยอมรับว่าทานแต่พาสต้า เบียร์ไม่ค่อยถูกปากครับตัวนี้



คู่สุดท้ายกับเบียร์และของหวานทีเด็ดประจำร้าน
ที่ทางร้านจัดมาให้ถึง 2 จานด้วยกันครับสำหรับของหวาน
คือ Maltessers bread pudding เป็นพุดดิ้งขนมปังกรอบซอสมอลท์
ใส่ช็อคโกแล็ตมอลท์กรุบกรอบพร้อมไอศกรีมวนิลาแบบอิตาเลี่ยน(210 บาท)


และอีก 1 ตัดเป็น Pecan Pie พายถั่วพีแคนมาพร้อมกับไอศกรีมวนิลา
เช่นเดียวกัน เป็นของหวานที่อร่อยทั้ง 2 อย่าง


และที่สำคัญเบียร์ที่จับคู่ตัวสุดท้ายกับของหวานนี้เป็นเบียร์ดำซะด้วยครับ
ตัดรสกันอย่างสนุกสนานแต่ไม่หักหาญกัน กับเบียร์ L'Olmaia:BK
เป็นเบียร์ดำระดับแอลกอฮอล์ 6.0% ที่ทานกับของหวานแรงเอาเรื่องนะครับ
แต่เบียร์ดำตัวนี้จะเบา ๆ ไม่หนักเหมือนไอริชเบียร์อย่าง Guinness Stout
ของโปรดของผม จะดื่มลื่น ๆ ใส ๆ ง่ายกว่าครับ 


ก็เป็นอันจบการดื่มด่ำคราฟท์เบียร์ของอิตาเลียนและอาหารหลากหลายแนว
ของร้าน The Beer Bridge โดยฝีมือของเชฟชาลีกันแล้วครับ
หวังว่าภาพอาหารและเกร็ดข้อมูลต่าง ๆ จากรีวิวในครั้งนี้
จะสามารถช่วยประกอบการตัดสินใจเลือกทาน เลือกดื่ม ให้อาหารและเครื่องดื่ม
ได้ผสานไปด้วยกันอย่างสนุกสนานมีความสุขในการเลือกรับประทานนะครับ


สนใจติดต่อสำรองที่นั่ง หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
e-mail:info@thebeerbridge.com
โทร.02-652-1979

ขอให้มีความสุขกับการรับประทานอาหารคู่กับเครื่องดื่มที่ถูกใจนะครับ