พื้นที่โฆษณาส่วนหัว

พื้นที่โฆษณาส่วนหัว
ติดต่อโฆษณา โทร.086 6688 327

วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2561

โชคดี Lucky บินดีแบบ Boutique กับ Bangkok Airways ไปพักสุดหรูที่ JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay Resort & Spa

 
รีวิวนี้ ... เอ๊ะ ไม่เรียกว่าเป็นรีวิวดีกว่า ขอเรียกว่า
เป็นการแชร์ประสบการณ์ ความประทับใจ จากการเดินทาง
ไปพักผ่อนยังเกาะฟู้โกว๊ก ประเทศเวียดนาม
ที่ว่ากันว่าเป็น ไข่มุกแห่งเวียดนามใต้
ประหนึ่งภูเก็ตในสมัยหลายสิบปีก่อนกันเลย
เป็นครั้งแรกก็แล้วกันครับ เหตุเกิดจากไปเล่นเกมส์
แล้วโชคดีมากได้รางวัลมาเป็น ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ
จากสายการบิน Bangkok Airways ที่บินตรงไปยัง
เกาะฟู้โกว๊ก ที่เป็นเส้นทางบินใหม่มีตารางบิน 4 เที่ยวบินต่อสัปดาห์
(สามารถเช็คราคาตั๋วเครื่องบินได้ที่ Bangkok Airways)
แล้วยังได้รางวัลเป็นห้องพักของโรงแรมหรูหรา
ที่เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่สุด ๆ ของเกาะฟู้โกว๊ก เป็นเวลา 3 วัน 2 คืน
(สามารถเช็คราคาห้องพักได้ที่ JW Marriott Phu Quoc)
เอาเป็นว่ามาดูกันเลยดีกว่าครับว่า บินสบายสไตล์บูทีค
กับ Bangkok Airways จะเป็นยังไง แล้วห้องพัก
และโรงแรม JW Marriott Phu Quoc จะยิ่งใหญ่ สวยงาม
อลังการขนาดไหน ตามมาดูกันเลยครับ

ทริปนี้ไปสนุกกันทั้งครอบครัวครับผม
โดยรางวัลได้  2 ที่นั่งนั้นเสียภาษีต่าง ๆ  คนละ 3,900 บาท
ส่วนอีกที่นั่งสำหรับลูกสาวซื้อเพิ่มเองครับผม
เป็นค่าตั๋วไปกลับ 1,600 บาท(เที่ยวละ 800 บาท) 
ภาษีต่าง ๆ 3,080 บาท (เด็กถูกกว่าผู้ใหญ่)
รวมเบ็ดเสร็จจ่ายเพิ่มไป 12,480 บาท สำหรับทริปนี้ครับ

เริ่มต้นกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ รีบมาแต่เช้า
ก่อนไฟล์ทนานพอสมควรเลย ซึ่งจริง ๆ ก็รู้ล่ะครับว่า
Bangkok Airways จะมีบินไปเกาะฟู้โกว๊กวันละไฟล์ทเท่านั้น
(4 วันต่อสัปดาห์) ซึ่งจะตรงกับเวลา 11.30 น.
และจะถึงเกาะฟู้โกว๊ก เวลา 13.10 น.

มาเช็คอินกันที่ ROW F ที่ช่อง F01 F02 F03 กันเลย
สำหรับผู้โดยสาร BLUE RIBBON CLUB (ชั้นธุรกิจ)
และผู้โดยสาร PREMIER MEMBER (สมาชิกพรีเมียร์)

แต่ที่มาก่อนเพราะว่าจะไปใช้บริการ Blue Ribbon Club Lounge
ที่มีของอร่อยเพียบ อย่างบะหมี่เป็ดโฟว์ซีซั่น ข้าวต้มบะกุ๊ดเต๋ ข้าวต้มมัด
มีไวไฟให้ใช้ฟรี มีเก้าอี้นวดสบาย ๆ มีห้องอาบน้ำส่วนตัวอีก
เรียกได้ว่า มาจัดเต็มก่อนขึ้นเครื่องกันไปเลย นอกจากนี้
จุดเด่นของเส้นทางการบินนี้จะได้ ฟรีน้ำหนักกระเป๋า 20 กิโลกรัม
พร้อมเลือกที่นั่งได้ฟรีอีกด้วย

Bangkok Airway Lounge สำหรับผู้โดยสารเดินทางออกไปต่างประเทศ
จะอยู่ตรงข้ามกับ Gate D7 ในส่วนของ BRC นั้นจะอยู่ด้านในครับ เข้าไปกันเลย


เข้ามาก็จะเจอกับเคาท์เตอร์บริการ โดยถ้าไปทางขวา
จะเป็นทางเดินไปยัง Lounge แบบทั่วไป
แต่ถ้าเป็น BRC เดินเข้าไปด้านในครับ

ตกแต่งเป็นสัญลักษณ์ได้สวยงามเลย


มีที่นั่งหลากหลายมุมให้เลือก มีคอมพิวเตอร์ให้ใช้งาน

มีเบาะนวดไว้ให้พักผ่อนคลายเมื่อยเพลิน ๆ

ไลน์อาหาร ในตู้แรกจะเป็น ข้าวต้มมัด(ในตำนาน)
ขนมเทียน ขนมใส่ไส้ พัพฟ์ พาย ข้าวโพดคั่ว
ตู้ถัดมาจะเป็นซาลาเปา ขนมจีบครับ

ตู้นึ่งกันร้อน ๆ ตลอดเวลา ดูควันสิ

อาหารสำเร็จ มีให้เลือก และเปลี่ยนไปในแต่ละวัน


เค้ก ขนม ผลไม้ ชา กาแฟ น้ำดื่ม น้ำผลไม้ น้ำอัดลม เพียบ

สำหรับแอลกอฮอล์ มีเมนูให้สั่งเช่นกันครับ แต่ต้องสั่งกับพนักงานเท่านั้น


ข้าวต้มบะกุ๊ดเต๋ อร่อยเลย มีทั้งเนื้อหมู กระดูกหมู
เห็ดหอม เห็ดแชมปิญอง เจ๋งครับ


เกี๊ยวกุ้งน้ำ ตัวใหญ่ ซุปคุ้นเคย น่าจะของ CP นะครับ
(ถ้าเดาผิดก็ขออภัย 555) 

ตอนเข้ามา พนักงานจะให้รหัส WiFi มาใช้ได้ฟรีครับ
ลองแล้วแรงดีเลยล่ะ จะอัพโหลด ดาวน์โหลด ก็จัดไป

จัดของกินเล่นและเครื่องดื่มมาอีกชุด (เอามาถ่ายรูปล่ะครับ)

ไก่สะเต๊ะ นุ่ม ๆ

ขนมไทยรสชาติดีทั้ง 3 อย่างเลย

ข้าวต้มมัดในตำนาน กินทุกทีอร่อยทุกชิ้น

รายการเครื่องดื่มในเมนูนี้สั่งได้ทั้งหมดเลยครับ

และถ้านั่งรอเวลาจนถึง 10 โมงเช้า
จะมีอาหารอีก 2 อย่างออกบริการด้วยนะครับ

จัดไปกับบะหมี่เป็ดย่างโฟร์ซีซั่น

ตบท้ายด้วยกาแฟกันดีกว่า เตรียมตัวไป Gate C01 เพื่อขึ้นเครื่องครับ
 
ใช้เวลาใน Blue Ribbon Club Lounge กันหอมปากหอมคอ
พร้อมกับเผื่อเวลาขึ้นเครื่องแล้ว ก็ไปกันเลย ไปสำรวจบนเครื่องบิน
แบบ ATR72-600 จำนวน 70 ที่นั่ง กับเที่ยวบิน PG991 กันเลยครับ


เป็นครั้งแรกเลยกับการนั่งเครื่องบินแบบใบพัด
ตื่นเต้นกันสุด ๆ ทั้งครอบครัว 555


ลำโพง ไฟส่องสว่างอ่านหนังสือ และแอร์
ช่องใส่ข้อมูลด้านความปลอดภัยและแมกกาซีน พร้อมถาดอาหาร

ช่องว่างระหว่างเก้าอี้ เรียกได้ว่ากว้างขวางดีพอครับ
กับความสูง 178 ซม. ของผม ไม่อึดอัดนั่งได้สบายเลย
ช่องใส่ของจุกจิกหลังเบาะด้านหน้าก็ใส่ได้หลายอย่างนะ

น้องอันนา นั่งเล่นกับเจ้าหญิงที่พาไปด้วยได้อย่างสบาย ๆ เลยครับ

น้องพนักงานบริการบนเครื่องสาธิตเรื่องความปลอดภัยได้อย่างดี


เทคออฟเหิรฟ้ากันแล้ว นั่งมองดูวิวกับใบพัดเท่ห์สุด ๆ
เสียงก็ไม่ได้ดังจนน่ารำคาญอะไรอย่างที่คิดไว้ตอนแรกนะ

อาหารที่เสิร์ฟบนเครื่องเป็น ข้าวกับแกงมัสมั่นไก่
มาพร้อมกับสลัดผักจากโครงการหลวง
และคุ้กกี้ฉลองครบรอบ 50 ปีของ Bangkok Airways

แกงมัสมั่นไก่ ไม่เผ็ดนะครับ เด็กกินได้ น้องอันนากินหมดเลย
อร่อยได้ความเป็นไทย ๆ ให้ชาวต่างชาติในเที่ยวบินนี้ได้ลองกัน

เครื่องดื่มมีเบียร์เสิร์ฟให้นะครับ จะเป็นเบียร์ช้างกระป๋องครับ

ไวน์ก็มีทั้งแดงและขาว แต่ผมขอเลือกขาวดื่มง่าย ๆ ดีกว่า 


คุ้กกี้สีฟ้าสวยงาม กับ ธีมฉลองครบรอบ 50 ปีของสายการบิน
Bangkok Airways อร่อยด้วย สวยด้วย หวานดี ไม่แข็งไม่นิ่มไป

จิบกาแฟกับคุ้กกี้เข้ากันมาก ๆ

นั่ง ๆ นอน ๆ เพลิน ๆ บนเครื่องประมาณไม่เกิน 2 ชั่วโมงแบบสบาย ๆ
ด้วยบริการอย่างดี สมเป็น Asia's Boutique Airline
มีอาหารและเครื่องดื่มเสิร์ฟบนเครื่อง ก็มาถึงยังจุดหมาย
ในเวลาเป๊ะ ๆ 13.10 น. ที่สนามบินเกาะฟู้โกว๊กกันแล้วครับ
มาทำความรู้จักกับเกาะฟู้โกว๊กกันสักนิดครับ
เกาะฟู้โกว๊กตั้งอยู่บนอ่าวไทย ห่างจาก จ.ตราด เพียง 200 กิโลเมตร
เป็นเกาะใหญ่ที่สุดของประเทศเวียดนาม มีพื้นที่ 574 ตารางกิโลเมตร
ตามไปอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ลิงค์ได้เลย >>> เกาะฟู้โกว๊ก
(ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก Bangkok Airways Blog)


ชมวิวเหนือน่านฟ้า น่านน้ำของเกาะฟู้โกว๊ก สวยงาม ตื่นเต้น ๆ

แต่ตอนแลนดิ้งนั้นฝนดันตกซะงั้น 555

เข้าถึงภายในสนามบินเกาะฟู้โกว๊กแล้ว สวัสดีค่ะ

รับกระเป๋าเรียบร้อย ออกมาก็จะพบกับพนักงานและรถรับ-ส่ง
ของโรงแรม JW Marriott Phu Quoc มารอรับอยู่แล้ว ว๊าววววววว
(อีก 1 บริการที่รวมอยู่ในรางวัลด้วยครับผม)

ภายในลีมูซีนของโรงแรมที่มารับ ใช้เมอร์เซเดส เบนซ์ GL500
นั่งสบาย หรูหรา มีระดับสมฐานะ เอ้ยย สมกับโรงแรมจริง ๆ
มีบริการผ้าเย็น(กลิ่นชินนามอน บอกก่อนเผื่อไม่ชอบกับน้ำเย็นด้วย)

นั่งรถชมวิวระหว่างทางด้วยความเพลิดเพลินกับวิวเกาะฟู้โกว๊ก
ที่เหมือนเส้นทางตามต่างจังหวัดของไทยเรานั่นแหละ
เพียงแต่จะมีเสียงแตรบ่อย ๆ ถี่ ๆ และใช้ถนนสลับข้างกับของเรา
ประมาณ 30 นาทีก็มาถึงยังประตูทางเข้าใหญ่ของโรงแรม
ซึ่งบอกเลยว่าทางเข้าใหญ่ มันใหญ่มากจริง ๆ มีรูปปั้นสุนัขหลังอาน
มาสค็อตตัวใหญ่ยักษ์ 2 ตัว เฝ้าประตูทางเข้าแบบอลังการ
(สุนัขหลังอาน / สัญลักษณ์เกาะฟู้โกว๊ก ตอนแรกผมดูเป็น อานูบิส 555)



แค่ทางเข้าก็อลังการแล้ว !!!

เมื่อเข้าสู่บริเวณโรงแรม JW Marriott Phu Quoc
จะพบกับความกว้างใหญ่ มโหฬาร ด้วยคอนเซ็ปต์
ที่ทางเจ้าของวางไว้ให้เป็นในรูปแบบมหาวิทยาลัยเก่าแก่
"Lamarck University"
ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่แสนน่าอัศจรรย์ใจ ด้วยจำนวน
อาคารในรูปแบบต่าง ๆ แบ่งเป็นคณะต่าง ๆ พื้นที่อันกว้าง
สุดลูกหูลูกตา และที่สำคัญด้วยดีเทล รายละเอียด
ในการตกแต่งทั้งภายนอกและภายในของส่วนต่าง ๆ ของโรงแรม
ด้วยฝีมืออันละเมียดละไมแบบไม่จำกัดงบประมาณ
ในการตกแต่ง จากสถาปนิกชื่อดัง "Bill Bensley"
ที่ออกแบบโรงแรมดัง ๆ มาแล้วทั่วโลก เพราะเจ้าของเซ็นเช็ค
ไม่กรอกจำนวนเงินไว้ให้จัดการได้ตามสบายกันเลย
บอกได้เลยว่า ทริป 3 วัน 2 คืน ในครั้งนี้นั้น
คงลงรายละเอียดได้ไม่หมดทั้งโรงแรมแน่นอน
เอาเป็นว่าจะมาเล่าถึงจุดต่าง ๆ ของโรงแรม
ที่ได้ใช้บริการกันก็แล้วกันครับ
(ภาพประกอบส่วนใหญ่ขออนุญาตจากทางโรงแรมแล้ว
เพราะไล่ถ่ายเองไม่หมดจริง ๆ)

ตากล้องสมัครเล่น เห่อมาก เดินถ่ายรูปไม่ยั้ง
แต่พ่อนี่ไม่กล้าเอารูปมาลงให้ดู 555

Bell Room to Lobby : ก้าวเข้ามาก็ตะลึงกับการออกแบบตกแต่ง
ที่แสนงดงาม และดูคลาสสิคด้วยโทนสีขาวของหินอ่อน
ตัดกับสีน้ำตาลของไม้ สลับกันการปูพื้นด้วยลายตารางต่าง ๆ
รวมถึงลวดลายสุนัขหลังอานอย่างเท่มากมาย
พร้อมกับของตกแต่งที่ให้ความรู้สึก ในธีมของห้องสมุด
เพราะมีหนังสือเก่า ๆ และของใช้เก่า ๆ แต่ดูดีเพียบ
อีกทั้งกระดิ่งที่เรียงรายอยู่บนโต๊ะที่ Bell Room ก็สั่นเรียกได้จริง
แค่ตัวล็อบบี้ ก็ถูกใจคนชอบถ่ายภาพและสาย selfie แล้วแน่นอน
ระหว่างรอทำการเช็คอิน ก็รับ Welcome Drink
และผ้าเย็นให้สดชื่นกันเลย

ดีเทลเพียบตั้งแต่กระเบื้องปูพื้น เจ๋งมาก








อึ้ง ทึ่ง ตะลึง ตั้งแต่ก้าวเข้ามาในตัวโรงแรมกันเลยทีเดียว
ทุกรายละเอียด ใครชอบงานสภาปัตยกรรม ผมบอกเลยว่า
คุ้มค่ากับการมาพักเพื่อชื่นชมในดีเทลทุกอณูกันจริง ๆ ครับ

ระหว่างทางเดินไปยังห้องพัก ก็ชมวิวทิวทัศน์ไปเรื่อย ๆ
สวยงามจนอยากให้มาเห็นด้วยตาตัวเองมากกว่าจริง ๆ ครับ
ไม่ว่าจะเป็นทางเดินที่ประดับไปด้วยของที่ผู้แพ้ต้องทิ้งไว้
เพื่อเป็นที่ระลึก (Hall of Loosing Team)

ผนังทางเดินประดับด้วยสิ่งของที่ระลึกของผู้แพ้

เช็คอินเรียบร้อยแล้ว รับคีย์การ์ดพร้อมบัตรเวลคัมดริ้งค์
เราไปดูห้องพักกันครับ จะมีพนักงานต้อนรับพาไปถึงห้องเลย
เพราะต้องขับรถกอล์ฟไปยังตึกที่พัก พร้อมบรรยายบรรยากาศ
ที่ขับผ่านให้เราได้รับฟังกัน (ภาษาอังกฤษ) ชิล ๆ กันไปครับ
ห้องพักแบบ Emerald Bay View : เป็น Type ของห้องพักที่ได้มาพัก
ซึ่งเป็น Type เริ่มต้นของโรงแรม JW Marriott Phu Quoc จาก 9 Type
ที่มีจำนวนห้องมากกว่า 200 ห้อง ทั้งห้องพักในอาคารและแบบวิลล่า
ห้องพักแบบ Emerald Bay View  ที่ผมและครอบครัวได้พักนั้น
ได้รับการอัพเกรดให้เป็นแบบ Emerald Bay Front ลงทะเลจากห้องได้เลย
โดยตั้งอยู่ที่อาคาร 7 คณะศึกษาสถาปัตยกรรม
หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า School of Architecture

อาคารสีเหลืองริมทะเลนี่แหละครับ School of Architecture

ราคาห้องก็ประมาณ 7 ล้าน ดองเวียดนามต่อคืนเท่านั้นเอง
(ประมาณ 12,xxx บาท รวมอาหารเช้าสำหรับ 2 คนแล้ว)
ผมเลือกห้องแบบเตียง King Bed (เตียงเดี่ยวนั่นแหละ)
เพื่อให้นอนกันได้อย่างคุ้นเคย และบอกได้เลยว่าสบายมาก
ภายในห้องพักขนาด 53 ตารางเมตร เพดานสูงโปร่ง สบายตา
ประดับตกแต่งไปด้วยความเป็นหอยไปทั่วทั้งห้อง
ห้องพัก Type นี้ สามารถพักได้สูงสุด 3 คน ต่อ 1 ห้อง
มีสิ่งอำนวยความสะดวกภายในห้องพักมากมาย เริ่มตั้งแต่
ทีวีจอแบน 32 นิ้ว พร้อมช่องจากเคเบิลและจานดาวเทียม
วิทยุสเตอริโอ อินเตอร์เน็ตไฮสปีด ทั้งแบบสายและ wifi
โทรศัพท์ภายในแบบไร้สายที่สามารถเรียก
บริการรูมเซอร์วิสได้ตลอด 24 ชั่วโมง
มีมินิบาร์ น้ำดื่ม เครื่องชงกาแฟ/ชา จาก ชาม ช้อน ส้อม
นาฬิกาปลุก ตู้เซฟ โต๊ะเก้าอี้ทำงาน มีเตารีดและโต๊ะรีดอีกด้วย
ประตูระเบียงและผนัง เป็นกระจกเห็นวิวทะเลได้อย่างเต็มตา
ระเบียงกว้างและใหญ่สวยงาม
ห้องน้ำก็เป็นแบบปูพื้นและผนังด้วยหินอ่อน พร้อมอ่างอาบน้ำ
และฝักบัวทั้งแบบธรรมดาและแบบ Rain Shower ให้เลือกใช้
พร้อมกับอเมนิตี้ยี่ห้อ Aromatherapy Associates จากประเทศอังกฤษ
ที่ให้กลิ่นหอมในแบบสปาหรู ๆ แจ่มไปเลย
กระจกแต่งหน้าพร้อมไฟส่องสว่าง ไดร์เป่าผม ผ้าคลุมอาบน้ำ
และรองเท้าสลิปเปอร์ เรียกได้ว่าครบครันกันเลยทีเดียว
แถมยังปราณีตในทุกรายละเอียดการตกแต่งกันอย่างมากอีกด้วย

ทางเดินจากประตูห้องที่เป็นโถงสูง มีโคมไฟใหญ่สวยงาม
ผนังประดับด้วยรูปภาพต่าง ๆ ส่วนอีกด้านเป็นกระจกบานใหญ่เต็มตัว


ห้องอาจจะดูคับแคบลงไปนิดเพราะผมเสริมเตียง
ให้ลูกสาวตัวแสบเพิ่มด้วยครับ ทริปนี้ก็จะมีรูปตัวแสบเยอะหน่อย 555
เตียงนุ่มสบาย หมอนหนุนเป็นขนเป็ดนุ่มกันสุด ๆ

พอมีเตียงเสริม ก็เลยต้องหลบโซฟามาไว้ใต้ทีวีจอแบนขนาดใหญ่
ที่สามารถเล่นอินเตอร์เน็ตได้ มีช่องรายการหลากหลายโดยเฉพาะภาพยนตร์

โต๊ะทำงานพร้อมโคมไฟส่องสว่างและโทรศัพท์ไร้สาย
เห็นช่องปลั๊กนั่นมั้ย มีหลากหลายรูปแบบทั้งหัวกลม หัวแบน
และไร้หัวแบบเสียบสาย USB กันได้เลย เจ๋ง !!!

มีผลไม้ต้อนรับในห้องอีก 1 ชุดด้วย


ชุดชาและกาแฟพร้อมเครื่อง Nespreso ภายในห้องแสนเพอร์เฟค


ภายในห้องน้ำกว้างขวางมาก มีทั้งฝักบัวธรรมดา Rain Shower
อ่างอาบน้ำแบบช่องทางน้ำไหลแบบสปา ให้ได้เลือกสนุก
โดยมีกระจกฝ้าให้ได้ตื่นเต้นกันเล็กน้อย เพราะมองเห็นทางเดิน
หน้าห้องกันเลยทีเดียว (แต่มีม่านให้สามารถปิดลงมาได้นะอย่าลืมล่ะ)

อ่างล้างหน้ามี 2 ฝั่งให้ได้ใช้แบบไม่ต้องแย่งกัน 555
สวยงาม อุปกรณ์ครบครัน ยังมีเครื่องชั่งน้ำหนักให้ด้วย

ระเบียงห้อง มีเดย์เบดให้ได้พักผ่อน มีพัดลมแบบแอนทีค ๆ เก๋ ๆ อีกด้วย

ช่างภาพน้อย แชะ !

แดดแรง ตาหยีเลย 555





ทะเลสวยงาม คลื่นเบา ๆ เงียบสงบ ได้พักผ่อนใจและกายเต็มที่
จิบกาแฟดี ๆ เบาพลาง สงบจิตใจไปพลาง สบายสุด ๆ

ธรรมชาติเข้าถึงกันเลยทีเดียว น้องกิ้งก่ามาเฝ้ายามให้

ดูห้องพักกัน จนจุใจแล้ว
มาเติมพลังกันดีกว่ากับในส่วนของ Dining
ห้องอาหาร Tempus Fugit : เป็นห้องอาหารที่ไว้กินอาหารเช้า
ที่สุดจะดีงาม (เดี๋ยวลงไลน์อาหารให้ดูครับ) และเป็นห้องอาหาร
ที่บริการอาหารทุกมื้อแบบ All Day Dining  ซึ่งมองเห็นวิวทะเลด้วย
ห้องอาหารนี้ ดูรวม ๆ แล้วประมาณคณะสถาปัตย์ ฯ เพราะด้วย
การตกแต่งตั้งแต่โครงสร้างภายใน เฟอร์นิเจอร์และการใช้สีสัน
และแสงธรรมชาติ มาเป็นองค์ประกอบได้อย่างสวยงามทุกซอกมุม
ว่าแล้วมาดูไลน์อาหารเช้ากันดีกว่า ว่ามีอะไรให้กินกันบ้าง
ขนมปัง-เบเกอรี่ ที่ใช้ชนิดเดียวกับทีวางขายตามร้านในโรงแรม
น้ำผลไม้สด ผลไม้อบแห้ง โคลด์คัทและชีสแบบต่าง ๆ
มุมไข่ที่ทำได้สาระพัดเมนู ตามต้องการ
อาหารท้องถิ่นเวียดนามและอาหารนานาชาติอีกมากมายให้เลือก

กาแฟเย็นเวียดนาม ของต้องห้ามพลาด หอม หวาน มัน อร่อยดี

อาหารญี่ปุ่น มีโรลทุกเช้า ส่วนปลาย่างก็เปลี่ยนชนิดปลาไปในแต่ละวัน

บูลโกกิเนื้อวัว ก็อร่อยแบบเกาหลี จริง ๆ มีบิบิมบับด้วยแต่กินไม่ไหวครับ

ฝรั่งหน่อยก็ขนมปังอบไส้กรอกและแฮมอบน้ำผึ้ง

ออมเล็ตใส่เบคอนชีสสสสสสสสส

ฝีมือน้องอันนาแต่งหน้าเองจ้า

หมูสามชั้นทอด จิ้มซอสพริกก็เด็ด




ก๋วยเตี๋ยวเนื้อ หรือ เฝอของทางเวียดนาม บางวันจะใช้เส้นใหญ่แบบนี้ครับ
รสชาติดีทีเดียว จะจิ้มน้ำจิ้มเพิ่มเติมก็อร่อยดี




บรรดาเบเกอรี่ ที่ลงในไลน์อาหารเช้า เป็นแบบเดียวกับที่วางขาย
ในร้าน French & Co. ครับ คุณภาพดี ถ้าไม่อยากเสียเงินก็กินตอนเช้าเลยจ้า

เฝอไก่ คราวนี้ใช้เส้นเล็กกว่าเฝอเนื้อครับ

ปลาย่างในไลน์อาหารญี่ปุ่นที่เปลี่ยนชนิดปลาในแต่ละวัน

ไก่อบและแฮมอบ กินกับมะเขือเทศอบอร่อยครับ

สตูว์เนื้อแบบเวียดนาม พลาดไม่ได้จ้า เนื้อนุ่มและรสนัว

เผื่อใครไม่มีเวลาไปใช้บัตรฟรีเวลคัมดริ้งค์แบบผมและครอบครัว
ก็จัดได้ที่ห้องอาหารเช่นกัน แต่เครื่องดื่มจะจำกัดไม่มีค็อกเทลนะ
เลยจัดสปาร์คกลิ้งไวน์มาซาบซ่าแต่เช้ากันเลย 555

ของหวานก็มีให้เลือกหลายหลาย มิกซ์แอนด์แมทช์กันได้ตามอัธยาศัย
และจินตนาการกันไปเลยครับ

น้องอันนาอยากกินวอฟเฟิลกับไอศกรีม ก็จัดไปครับ


ได้เพื่อนใหม่ เล่นสนุกกันในห้องอาหารด้วย

มื้อค่ำให้บริการแบบ a la carte ในอาหารทั้งแบบเวียดนาม
และอาหารตะวันออกและตะวันตก

จิบเบียร์ท้องถิ่นสักนิด



พิซซ่าหน้ามากาเร็ตต้า ของโปรดน้องอันนา




แซลมอน อโวคาโดโรล ก็ของโปรดอีกเช่นกัน ด้านในสาหร่ายห่อด้วย
แซลมอนและอโวคาโด ด้านบนวางด้วยแซลมอนและไข่ปลาแซลมอน



ข้าวผัดลามาร์ค เป็นข้าวผัดอร่อย ๆ ที่เซอร์ไพร์สมาก
กับการผัดข้าวกับเครื่องเทศละม้ายผงกะหรี่พร้อมกับพริกเขียว
ใส่กุ้งสด ๆ ปลาหมึกสด ๆ โรยถั่วลิสงบดหยาบ ๆ
กินกับผัดผักบ๊อกชอย และผักสด อร่อยมาก ๆ ต้องลองจริง ๆ แนะนำ


อีก 1 เมนู ลิงกวินี่เส้นหมึกดำผัดหอยตลับ หรือชื่อภาษาอังกฤษ
Squid Ink Linguini Al Vongole หอมกลิ่นทะเล
เนื้อหอยตลับหวานมัน เข้ากันกับเส้นลิงกวินี่หมึกดำมาก ๆ

และยังสามารถสั่งอาหารมากินที่ห้องได้ด้วยจากห้องอาหารนี้
เป็ํนลักษณะ In Room Dining ครับ





คลาสสิคแฮมเบอเกอร์ใส่เบคอนและชีส ชิ้นใหญ่
หอมเนื้อย่างไฟอร่อย ๆ กินกับเบียร์เย็น ๆ กลิ้งบนเตียงสบาย ๆ


เฝอซุปไก่ สั่งมาเป็นเส้นแบนแบบนี้ มีเส้นหลายแบบเหลือเกิน
ซุปอร่อย ไก่ฉีก กินแล้วคิดถึงก๋วยเตี๋ยวไก่ฉีกบ้านเราเหมือนกัน 555


สปาเก็ตตี้ครีมซอสเห็ด เข้มข้นและหอมมาก

ห้องอาหาร Pink Pearl : เป็นห้องอาหารเวียดนามบรรยากาศหรูหรา
ให้บริการเฉพาะมื้อค่ำ ตัวอาคารตั้งอยู่ริมชายหาดได้วิวทะเล
และยังมีห้องส่วนตัวถึง 6 ห้อง นอกเหนือจากห้องโถง
เป็นอีก 1 ห้องอาหารที่ต้องมาลองชิมอาหารเวียดนามกันครับ
แถมยังมีกิมมิคให้หาสุนัขหลังอานให้ครบด้วยว่ามีกี่ตัว อิอิ
เปิดให้บริการเฉพาะมื้อค่ำ และต้องใส่กางเกงขายาวเป็นอย่างน้อย
ผมลืมกางเกงขายาวไปก็เลย ไม่ได้เข้าไปรีวิวเลย พลาดเลย 555


ห้องอาหาร Red Rum : เป็นห้องอาหารที่เน้นจานซีฟู้ดสด ๆ
นำมาย่าง เผา กินกับซอสท้องถิ่นของเวียดนาม ผลผลิต
ท้องถิ่นของเวียดนาม แต่ก็ยังมีจานเนื้อให้เลือกด้วยเช่นกัน
กับบรรยากาศวิวทะเลและมหาสมุทรอันกว้างใหญ่สวยงาม
เปิดให้บริการมื้อกลางวันและมื้อค่ำ
มีโอกาสได้ฝากท้องมื้อค่ำหลังเล่นน้ำกันวันคืนแรก




หอยนางรมฮาลองเบย์ หอยนางรมตัวใหญ่ปรุงรสด้วยซอสสูตรเฉพาะ
นำไปย่างไฟให้พอสุกและร้อนกำลังกิน ได้รสชาติหอยนางรมสด ๆ
กับซอสรสเบา ๆ ออกหวานเค็มกำลังดี จิ้มกับน้ำจิ้มซีฟู้ดเวียดนาม
ที่มีสไตล์ข้น ๆ หนืด ๆ ก็ใช้ได้ แม้น้ำจิ้มจะสู้บ้านเราไม่ได้ก็ตาม



กั้งกระดานย่าง อีก 1 เมนูที่อย่าเข้าใจผิดเวลาอ่านเมนูภาษาอังกฤษนะ 555
ภาษาอังกฤษเค้าเรียกว่า Slipper Lobster ครับ ราคาสูงพอสมควรเลย
สดดี ย่างมาหอม เนื้อกั้งหวานกว่ากินแบบออนไอซ์ในไลน์บุฟเฟ่ต์โรงแรมครับ


กุ้งลายเสือย่าง สด หวาน อร่อย บีบมะนาวนิดนึง น้ำลายจะไหล

ปลาหมึกไข่ย่าง กรอบนอก นุ่มใน ใครชอบหมึกไข่และไข่หมึก
มีฟินกันไปล่ะครับกับจานนี้

ไส้กรอกย่างก็มีนะ มาพร้อมข้าวโพดย่าง

มีขนมปัง/แป้งอบ เป็น complimentary

เบียร์แก้วแช่ ริมทะเล ฟีลกู๊ดมาก





เนื้อแบล็คแองกัส สเต็ก เป็นส่วนสันนอก ย่างมาแบบมีเดียมแรร์
เนื้อหอม นุ่ม เชฟทำการหมักรสมาบาง ๆ เพื่อไม่ทำลายรสและกลิ่นเนื้อ
เป็นอีก 1 เมนูที่สายเนื้อที่ผมอยากแนะนำครับ จิบโรเซ่เย็น ๆ ตาม ฟินกันไป



ของหวาน ราสเบอร์รี่พานาค็อตต้า เสิร์ฟมาแบบเย็น ๆ
สดชื่นปิดท้ายมื้อบรรยากาศริมทะเล


หรือจะเป็นไอศกรีม ก็ดีทีเดียวครับ

เอ้า ชน!!! ดื่มด่ำกับความสุขและการพักผ่อนอันแสนสบายครับ

French & Co. : ลิ้มรสขนมหวานสไตล์ฝรั่งเศสที่ทำสดใหม่
ทุก ๆ วัน พร้อมกับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพประหนึ่งเราได้เป็น
ชาวปารีเซียงกันเลยทีเดียว ซึ่งขนมต่าง ๆ ก็จะอยู่ในไลน์
อาหารเช้าแบบบุฟเฟ่ต์ เพราะฉะนั้นก็กินที่ไลน์อาหารเช้า
จะได้ไม่เสียเงินมาซื้อเพิ่ม แต่ถ้าอยากกินอีกก็มาอุดหนุน
ที่ร้านได้เช่นกันครับผม
เปิดให้บริการมื้อกลางวันและมื้อค่ำ


บาร์ริมทะเล Department of Chemistry Bar : อาคารทรงกลมริมทะเล
ที่ด้านในแต่งแต้มด้วยสีชมพูสดใส เป็นที่รวมเครื่องดื่มรสเลิศ
ดังชื่อคณะเคมี ที่ต้องทำการปรุงผสมรสชาติเครื่องดื่มอย่างลงตัว
กับแก้วและภาชนะต่าง ๆ ที่ใช้นั้น
จำลองอุปกรณ์ห้องทดลองมาตามคอนเซ็ปต์เลย
ที่นี่จะมี Mixologist ฝีมือเยี่ยมคอยผสมเครื่องดื่มได้ถูกปากมาก
แล้วก็ยังมีทาปาสและของว่างอร่อย ๆ กินแกล้มกันไปอีกด้วย
เปิดให้บริการเฉพาะมื้อค่ำ เสียดายอีกเช่นกันที่ไม่ได้ลองแวะ


ปรนนิบัติร่างที่ Chanterelle - Spa by JW : อาคารชั้นเดียวสีสดใน
ให้บริการสปาและทรีทเม้นต์ต่าง ๆ มาตรฐานชั้นดีของ JW
ซึ่งเน้นการใช้การสกัดจากเห็ดต่าง ๆ แม้แต่ตัวสถานที่และการตกแต่ง
ก็ยังเป็นเรื่องราวที่เกี่ยวกับเห็ดอีกด้วย เก็บดีเทลละเอียดยิบ
เป็นอีก 1 ช่วงเวลาให้รางวัลกับการพักผ่อนทั้งร่างกายและจิตใจ
ได้อย่างดี ในการทำสปาและทรีทเม้นต์ ในบรรยากาศแสนสบาย
เปิดให้บริการทุกวัน เวลา 09.00 น. - 22.00 น.
แนะนำว่าไปถึงวันแรกให้รีบจองเลยนะครับ ขอโปรแกรมมาดู
ว่ามีนวดแบบไหนบ้าง ไม่งั้นอดนวดเพราะเต็ม จะหาว่าไม่เตือน
เพราะผมก็เกือบอดไปแล้ว ดีที่มีเหลือรอบดึกสุด แล้วจะได้ลอง
กับการนวดในสไตล์เวียดนามครับ ก็แตกต่างดีไปคนละแบบ
กับการนวดที่บ้านเราอยู่เหมือนกันนะครับ ต้องลอง ๆ

ใช้การสกัดเห็ดต่าง ๆ มาทำเป็นน้ำมันนวด


ล็อบบี้ที่นั่งรอ ประดับประดาไปด้วยภาพเห็ดต่าง ๆ


บรรยากาศสวยงาม อบอุ่น ผ่อนคลาย

สินค้าต่าง ๆ สามารถซื้อกลับไปใช้ได้ครับ

น้ำกระเจี๊ยบเย็น ๆ บริการต้อนรับระหว่างรอไปยังห้องทรีทเม้นต์

ตรงนี้นี่แหละที่จะผ่อนคลายร่างกายสุุด ๆ

Department of Physical Education : สร้างความแข็งแรงกันเถอะ
กับสระว่ายน้ำกว้างใหญ่ถึง 3 สระ ที่ให้บริการตั้งแต่ 06.30 น.
จนถึง 18.30 น. ไม่ว่าจะเป็น Sun Pool, Shell Pool และ
Sand Pool ที่มีสระเด็กให้หนู ๆ ได้สนุกกันด้วย
ห้อง Fitness ให้เล่นคาดิโอ ยกน้ำหนัก
รวมถึงเข้าคลาสฟิตเนสกันก็ได้อีกด้วยนะ
สำหรับกิจกรรมต่าง ๆ (ฟรีและไม่ฟรี)ก็มีอีกหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น
ขี่จักรยาน พายเรือ/คายัค ล่องเรือ ทำซาวน์น่า เซิร์ฟโยคะ ทำโคมลอย
วิ่งลู่วิ่งและดำน้ำตื้น สามารถเช็คตารางกิจกรรมกับทางโรงแรมได้
สำหรับเด็ก ๆ และครอบครัว ก็มี ห้อง Kids Club
ที่มีของเล่น อุปกรณ์ให้น้อง ๆ หนู ๆ ได้สนุกสนาน
ให้ได้เลือกเล่นกันได้ไม่มีเบื่ออย่างแน่นอน

ลู่วิ่งและสนามฟุตบอล

ห้องฟิตเนส

สระว่ายน้ำรูปหอย Shell Pool

สระว่ายน้ำรูปพระอาทิตย์ Sun Pool

สระว่ายน้ำ Sand Pool


น้องอันนาเล่นน้ำสนุกไปเลยงานนี้

กิจกรรมริมทะเล ก็มีทั้งพายเรือคายัค เซิร์ฟบอร์ด ฯ
อย่าลืมไปออกกำลังกาย ไปเล่นกันนะครับ







ห้อง Kid's Club เป็นอีก 1 ที่ ที่สามารถดูดเด็ก ๆ ให้อยู่
ได้ในนี้กันทั้งวัน จนผู้ใหญ่/พ่อแม่ หมดเวลาไปกับห้องนี้ซะเยอะ 555

สามารถขอตารางกิจกรรมสำหรับเด็ก ๆ ไว้ดูได้
ตรงโต๊ะลงทะเบียนเข้าใช้ห้อง Kid's Club นะครับ

นอกจากนี้ก็ยังมีส่วนที่เป็นบริเวณห้องประชุม จัดเลี้ยง
และสามารถจัดงานแต่งงานได้อย่างอลังการกันอีกด้วย
เนื้อที่กว้างใหญ่ จัดได้หลายรูปแบบเลย




ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนั้นจะตั้งอยู่ภายในบริเวณของโรงแรม
ที่เหมือนหมู่บ้านข้างมหาวิทยาลัย ที่เรียกว่า Rue de Lamarck




บนเกาะฟู้โกว๊ก ยังมีสถานที่ท่องเที่ยวอีกหลายแห่ง
ไม่ว่าจะเป็น หาดไต๋ อุทยานแห่งชาติฟู้โกว๊ก ศาลเจ้าดิงเกา
หมู่บ้านชาวประมงฮามนิง คุกมะพร้าว ลำธารตราง
ตลาดกลางคืนดิงเกา ซึ่งสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้
ที่ลิงค์นี้เช่นกัน >>> สถานที่ท่องเที่ยวเกาะฟู้โกว๊ก
(ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก Bangkok Airways Blog)
การออกไปเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยว ก็สามารถ
ติดต่อลีมูซีนของโรงแรม(เสียค่าใช้จ่ายนะ ลองสอบถามดูก่อน)
หรือให้ทางโรงแรม เรียก Taxi เข้ามารับก็ย่อมได้ครับ
เสียดายที่รอบนี้ไม่มีโอกาสออกไปเที่ยวข้างนอกเลย
เลยไม่มีโอกาสได้ลองนั่ง Taxi เวียดนาม เลยไม่รู้ราคานะครับ
ไว้คราวหน้าถ้าได้ไปอีกจะต้องออกไปเยือนสถานที่ต่าง ๆ ให้ได้

แวะซื้อของฝากในวันกลับ จะเอามาแจกแฟนเพจ
รอกันได้เลยครับ ง่าย  ๆ ไม่มีอะไรมาก แค่แชร์รีวิวนี้เท่านั้น อิอิ

หมดไป 3 วัน 2 คืน จริง ๆ แล้วไม่น่าจะพอ อยากอยู่นานกว่านี้
แต่ก็ถือว่าได้ไปเปิดประสบการณ์ที่ดีมาก ๆ อีก 1 ทริป
ถ้ามีโอกาสอีก ก็จะมาอีกแน่นอนครับ แต่ตอนนี้ต้องโบกมือลา
เกาะฟู้โกว๊กและโรงแรม JW Marriott Phu Quoc กันแล้ว
บอกได้เลยว่าประทับใจกับตัวโรงแรม ห้องพัก ห้องอาหาร
และบริเวณอันกว้างใหญ่ไพศาลของโรงแรม
พอเข้าไปแล้ว แทบจะไม่อยากออกไปจากโรงแรมเลยล่ะ
เพราะทุกอย่างมีครบสมบูรณ์พร้อม และสวยงามสมราคา

สำหรับเที่ยวบินขากลับนั้น จะเป็นไฟลท์ PG992
เวลา 13.55 น. และจะเดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิ
เวลา 15.45 น. โดยประมาณ เป็นอันจบทริปบินดีบินสบาย
กับ Bangkok Airways ไปพักสุดหรูที่ JW Marriott Phu Quoc
Emerald Bay Resort & Spa ที่สุดแสนโชคดีและประทับใจเป็นที่สุด
ขอปิดท้ายด้วยภาพบรรยากาศต่าง ๆ ที่ได้เก็บมา
ไว้เป็นความทรงจำที่แสนสวยงามครับ



















บอกได้เลยว่า มุมถ่ายภาพเยอะมาก ๆ
ใครชอบถ่ายรูป ระวังไว้ให้ดีเลยล่ะครับ 555

แสงยามค่ำคืน



ทะเลและพระอาทิตย์ยามเช้า

แผนผัง แผนที่บริเวณโรงแรม JW Marriott Phu Quoc Emerald Bay Resort & Spa

สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณรางวัลจาก  Bangkok Airways
พร้อมขอฝากเส้นทางการเดินทางใหม่บินตรงไปยังเกาะฟู้โกว๊ก
และโรงแรมเปิดใหม่สุดหรูสวยงามอลังการงานสร้าง
ที่จะหลงรักในรายละเอียดที่ถูกตกแต่ง
ได้อย่างใส่ใจในทุกตารางเมตรกับ


ภายในสนามบินก็มีร้านขายของฝากนะครับ ราคาไม่ต่างจากข้างนอกสักเท่าไหร่เลยครับ
เผื่อไม่มีเวลาแวะร้านค้าข้างนอกหรืออยากละลายเงินเวียดนามให้หมด


แอบส่องเจ้าหน้าที่เวียดนามสักหน่อย อิอิ


Bye Bye เกาะฟู้โกว๊ก



อาหารบนเครื่องไฟล์ทกลับ เหมือนจะรู้ว่าคิดถึงอาหารไทย
จัดเป็นลาบไก่ ข้าวเหนียว สลัดผักโครงการหลวง
และคุ้กกี้ 50 ปี สายการบินบางกอกแอร์เวย์



และแล้วก็ถึงบ้านเรา สนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ

เกร็ดเล็กน้อยเพิ่มเติม (ไว้เตือนตัวเองด้วย)
- เงินเวียดนามดองแลกที่สนามบินได้ แต่เรทไม่ดีเลยเพราะอยู่บนเกาะ
- เวลาพบและทักทายกันของคนเวียดนามจะพูดว่า ซิน จ่าว(สวัสดี)
- เวลาขอบคุณให้พูดว่า ก๊าม เอิน ถ้าขอโทษก็ ซิน โหลย
- ราคาของที่ระลึกร้านตามทางแทบไม่ต่างจากในสนามบิน
- รถยนต์ขับซ้าย บางครั้งก็ไม่ชินตาเหมือนขับย้อนศร 555
ลิงค์ที่เกี่ยวข้อง
สายการบินบางกอกแอร์เวย์


#BangkokAirways #BoutiqueAirline
#PGGangster #50thAnniversary
#JWMarriottPhuQuoc
#JWMarriottPhuQuocEmeraldBay
#SummerforAll #BestBeachPhuQuoc
#BestBeachDestion #Vietnam
#OnTable #OnTrip #OnTravel #ontcu
#HappyFamilyTrip #YAOtrip
#FirstTimePhuQuoc #GoToKnowTheWorld

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น